บทสัมภาษณ์ Steve Jobs กับ Playboy เมื่อ 30 ปีก่อน ทำให้เราเซอร์ไพรส์หลายเรื่อง

  • 22
  •  
  •  
  •  
  •  

ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว “Steve Jobs” เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารสุดเซ็กซี่ “Playboy” มาแล้ว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1985 บทสัมภาษณ์ชิ้นนั้นกลายมาเป็นบทความที่มีมูลค่าอย่างมากในตอนนี้ โดยสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองความคิดของผู้บุกเบิกเทคโนโลยีคนสำคัญว่าเขาเป็นอย่างไร รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีในอดีตกว่าจะมาถึงตอนนี้ youngjobลองอ่านแง่มุมมบางส่วนดู

ทีมงาน Mac ใช้เงิน 1 แสนเหรียญต่อปี ไปกับค่า “น้ำส้ม”!

ผู้เขียนประหลาดใจกับวัฒนธรรมของชาวแอปเปิ้ลอย่างมาก โดยระบุว่า “ออฟฟิศแอปเปิ้ล ซึ่งไม่ชัดเจนว่าจะเหมือนกับที่อื่นๆ หรือไม่ แต่พวกเขามีวิดีโอเกมส์ให้เล่น มีโต๊ะปิงปอง มีดนตรีแจ๊สเปิดให้ฟัง ห้องประชุมตั้งชื่อว่า Da Vinci และ Picasso และห้องทานอาหารเล่นมีตู้เย็นที่แช่แครอท และน้ำส้มตุนเอาไว้ ซึ่งเฉพาะทีมงาน Mac แผนกเดียวก็ใช้เงินสำหรับซื้อน้ำส้มปีละ 1 แสนเหรียญ”

Steve Jobs” แสดงเครื่อง Mac ให้เด็ก 9 ขวบดู ในงานปาร์ตี้ที่นิวยอร์ก ซึ่งมี Andy Warhol ตำนานป๊อปอาร์ทอยู่ที่นั่นด้วย

ส่วนที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ในขณะที่ Jobs นั่งเล่นกับเด็ก 9 ขวบ ซึ่งให้ความสนใจกับเครื่อง Mac อย่างมากนั้น Jobs เล่าว่า มีผู้ใหญ่คนหนึ่งนั่งลงและถามเขาว่า “นี่คืออะไร?” ในขณะที่เด็กกลับถามเขาว่า “ผมจะทำอะไรกับมันได้บ้าง?”

Steve Jobs” กล่าวว่า ผลกำไรขอ Apple มาจาก “การปฏิวัติปิโครเคมี” พลังงานราคาถูก ทำให้ง่ายต่อการสร้างคอมพิวเตอร์

โดยในบทสัมภาษณ์เขาอธิบายถึงข้อความนี้ไว้ว่า “เราอยู่ในช่วงการตื่นตัวของการปฏิวัติปิโตรเคมี ในอีก 100 ปีข้างหน้า ที่ให้พลังงานแก่เราฟรีๆ พลังงานในกรณีนี้ก็คือการใช้พลังงานจากเครื่องจักรฟรี ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงสังคมไปอย่างที่สุด”

“คอมพิวเตอร์คือเครื่องมืออันเหลือเชื่อ ซึ่งเราไม่เคยพบเห็นมาก่อน”

ขยายความสิ่งที่ Jobs กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “คอมพิวเตอร์คือเครื่องมืออันเหลือเชื่อ ซึ่งเราไม่เคยพบเห็นมาก่อน เพราะมันสามารถเป็นเครื่องมือที่ใช้เขียน, เป็นศูนย์กลางการสื่อสาร, เป็นสุดยอดเครื่องคิดเลข, เป็นเครื่องมือวางแผน, เป็นฟิลเตอร์, และเป็นเครื่องมือทางศิลปะได้ด้วย ทุกอย่างนี้อยู่ในสิ่งเดียวคือคอมพิวเตอร์ เราไม่รู้ว่าจะอีกไกลแค่ไหนที่มันจะไปได้ แต่ตอนนี้ คอมพิวเตอร์ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น พวกมันทำงานให้เราโดยใช้เวลาแค่เศษเสี้ยววินาที ซึ่งถ้าหากเราทำเองต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงทำ พวกมันเพิ่มคุณภาพให้แก่ชีวิตเรา บางครั้งเราต้องทนทำงานที่แสนจะหนักและน่าเบื่อหน่ายเราสามารถโอนงานตรงนี้ให้คอมพิวเตอร์ทำได้ พวกมันทำหลายสิ่งหลายอย่างให้กับเรา”

ในปี 1985 ผู้คนคิดว่า “เม้าส์ ไร้ประสิทธิภาพ”

จากความคิดนี้ Jobs ตอบกลับไปว่า “เราทำการศึกษาและทดสอบกับมันมากมาย และพบว่ามันช่วยทำงานหลายอย่างให้เร็วขึ้น และมีหลายฟังก์ชั่นการใช้งาน เช่น คัทติ้ง, เพสต์ ด้วยเม้าส์”

ในปี 1985 ผู้คนคิดว่า Apple เปลี่ยนแปลงคอมพิวเตอร์ไปมาก

ลองฟังบทสัมภาษณ์ตรงส่วนนี้ดู Jobs : ไม่แน่ว่าเราอาจจะสร้างจอสีขึ้นมาในราคาที่สมเหตุสมผล เกี่ยวกับเรื่องราคาที่โอเวอร์เกิน ต้องเข้าใจว่าโปรดักส์ใหม่ราคาเริ่มต้นก็มักจะแพงมากกว่าในรุ่นถัดๆ มาอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเราได้ผลิตรุ่นใหม่ออกมาราคารุ่นก่อนก็จะลดลงไป PLAYBOY: อะไรคือคำวิจารณ์ที่ได้รับบ้าง เช่น เกี่ยวกับเรื่องการเน้นการตั้งราคาแบบพรีเมี่ยม จากนั้นก็กลับตัวใหม่แล้วลดราคาลงเพื่อที่จะจับตลาดที่เหลือ JOBS: นั่นมันไม่จริงเลย หากเราลดราคาลงได้เราก็ทำ ความจริงคือว่าคอมพิวเตอร์ของเราราคาในวันนี้ถูกลงกว่าเมื่อ 2-3 ปีก่อนด้วยซ้ำหรือแม้แต่เมื่อปีที่แล้ว แต่นั่นก็จริงในส่วนของเครื่อง IBM PC เป้าหมายของเราคือการผลิตคอมพิวเตอร์ออกไปสู่ผู้ใช้อีกเป็น 10 ล้านคน และในราคาที่ถูกพอที่เราจะทำได้ ผมจะชอบมากถ้า  Macintosh อยู่ที่ราคา 1 พันเหรียญฯ

Apple พ่ายแพ้อย่างไม่มีชิ้นดีกับ Apple III แต่ Jobs กล่าวว่า “นี่แหละชีวิต”

The Apple III ถูกเรียกคืนในปี 1980 เพราะปัญหาเสถียรภาพ และท้ายที่สุดก็ถูกปล่อยออกมาอีกรอบ ก่อนที่จะถูกละทิ้งไปในที่สุด jobs1

โพลารอยด์ ตัดสินใจเตะโด่งผู้ก่อตั้งออก ซึ่งมัน “เป็นสิ่งที่โง่เง่าที่สุด ที่ผมเคยได้ยินมาเลย”

Jobs ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “คุณรู้ไหม Dr. Edwin Land เป็นตัวเจ้าปัญหา เขาดรอปการเรียนที่ฮาร์วาร์ดและมาก่อตั้งโพลารอยด์ ไม่เพียงแค่นั้นเขายังเป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ในยุคของเราด้วย แต่สิ่งสำคัญไปกว่านั้นก็คือเขามองเห็นการมาบรรจบรวมกันของศิลปะ วิทยาศาสตร์ และธุรกิจ แล้วสร้างสรรค์มันสะท้อนมันออกมาเป็นสิ่งนี้ แต่ในที่สุด Dr. Land ก็ถูกขอให้ออกมาจากบริษัทที่เขาสร้างเองซึ่งเป็นสิ่งที่โง่เง่าที่สุดที่ผมเคยได้ยินมา ดังนั้น Dr. Land ในวัย 75 ปี ก็ออกมาใช้เวลาที่เหลือของชีวิตให้กับงานวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ พยายามที่จะกระเทาะรหัสของการมองเห็นสี ชายผู้นี้คือสมบัติอันมีค่าของชาติ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ทำให้เขากลายเป็นแบบอย่าง นี่คือสิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่สุด เขาอาจจะไม่ใช่นักบินอวกาศหรือนักฟุตบอล แต่เขาเป็นแบบอย่างที่ดี” jobs3 ถ้า Apple แพ้ “พวกเราก็จะเข้าสู่ยุคมืดของคอมพิวเตอร์ เป็นเวลา 20 ปี” นี่คือสิ่งที่เขาพูดถึงกรณีถ้า IBM ชนะ Apple ได้ “ด้วยเหตุผลบางอย่าง ถ้าเราได้ทำพลาดอย่างใหญ่หลวง แล้ว IBM เป็นผู้ชนะ ความรู้สึกส่วนตัวของผมก็คือเรากำลังเข้าสู่ยุคมืดของคอมพิวเตอร์เป็นเวลา 20 ปี ครั้งหนึ่ง IBM เข้าควบคุมตลาดส่วนใหญ่ พวกเขาหยุดที่จะคิดค้นหรือสร้างนวัตกรรมใดๆ พวกเขาปกป้องแต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแค่นั้น”

Jobs เคยพลาดเกี่ยวกับธุรกิจคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์

Jobs ไม่เคยคิดว่าจะมีผู้จำหน่ายฮาร์ดแวร์มากมายขนาดนี้ แต่ก็มีผู้จำหน่ายซอฟแวร์มากมายอยู่แล้ว เมื่อเขามองย้อนกลับไป นี่คือบางสิ่งที่เขาคาดเดาผิดพลาดไปจากความเป็นจริง “ในช่วงการจัดหาคอมพิวเตอร์ตอนนั้นถือว่าเป็นขาลงของทั้ง Apple และ IBM แต่ผมไม่คิดว่าจะมีบริษัทอื่นๆ เข้ามาอีก อันดับสาม อันดับสี่ หรืออาจจะมากกว่านั้นเป็นหกหรือเจ็ด ที่จ่อจะเข้ามาแทนที่ ส่วนใหญ่ก็จะโฟกัสไปที่บริษัทซอฟแวร์แต่ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์” jobs2

Steve Jobs คือ “ความสยอง” ของคุณครู เขาทั้งปล่อยงู วางระเบิด เมื่อตอนอยู่เกรด 3 และเคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน 2-3 ครั้ง

“แม่ผมสอนผมให้อ่านก่อนจะไปเข้าโรงเรียน ดังนั้นผมก็เลยรู้สึกเบื่อโรงเรียน แล้วผมก็เลยหันมาทำเรื่องร้ายๆ ที่โรงเรียน คุณน่าจะได้เห็นผมตอนเกรด 3 นะ ส่วนใหญ่จะเอาแต่ใช้เวลาก่อกวนคุณครู เราเคยปล่อยงูเข้าชั้นเรียนแล้วก็วางระเบิดด้วย แต่สิ่งนี้เปลี่ยนไปเมื่อตอนเกรด 4 โดยหนึ่งในพระแม่ในชีวิตของผมเธอชื่อ Imogene Hill เธอเป็นคุณครูสอนตอนเกรด 4 เธอสอนสิ่งที่มันท้าทายมากๆ ผมเรียนรู้หลายอย่างในปีนั้น และผมยังได้เรียนในชั้นอื่นๆ ด้วย ซึ่งตอนนั้นบางคนก็บอกว่าน่าจะส่งผมไปเรียนระดับไฮสคูลเลย แต่พ่อกับแม่ผมท่านฉลาดมากท่านไม่ทำอย่างนั้น”

Jobs ได้งานที่ HP เพราะว่าเขาโทรหา Bill Hewlett โดยได้เบอร์มาจากสมุดโทรศัพท์

“เมื่อตอนที่ผมอายุประมาณ 12 หรือ 13 ปีนี่แหละ ผมก็อยากจะสร้างอะไรบางอย่างและต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น ผมเลยตัดสินใจยกหูโทรศัพท์แล้วโทรหา Bill Hewlett ซึ่งมีชื่อเขาอยู่ที่สมุดโทรศัพท์เมือง Palo Alto เขาก็ตอบรับผมทางโทรศัพท์ด้วย เขาน่ารักมาก เขาพูดกับผมนานถึง 20 นาที โดยที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร เขาจบบทสนทนาด้วยการให้งานผมทำในช่วงซัมเมอร์ที่ Hewlett- Packard ซึ่งผมดีใจสุดๆ มันเหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์ ผมยังจำวันแรกของการทำงานได้ ผมแสดงความกระตือรือร้นให้กับ supervisor เห็น เขาชื่อ Chris” ผมบอกกับเขาว่าสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในโลกก็คืออิเล็กทรอนิกส์ แล้วก็ยังถามกลับเขาไปว่าแล้วคุณชอบอะไรล่ะ เขามองมายังผมแล้วก็ตอบว่า To fuck!” (หัวเราะ) ผมเรียนรู้อะไรมากมายในช่วงซัมเมอร์นั้น”

Jobs เคยเป็นลูกจ้าง หมายเลข 40 ที่ Atari

Steve Jobs เคยเป็นลูกจ้าง หมายเลข 40 ที่ Atari ที่นั่นทำให้เขาได้พบกับ cofounder Steve Wozniak” และทั้งคู่ก็ได้มาร่วมสร้าง Apple I

“ผมคิดว่าความตายคืองานประดิษฐ์ของชีวิตที่มหัศจรรย์ที่สุด มันได้กำจัดระบบรูปแบบเก่าซึ่งล้าสมัยไปแล้ว”

“สิ่งนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นทำให้ผมคิดว่า ความตาย คือสิ่งประดิษฐ์ที่มหัศจรรรย์ที่สุดของชีวิต มันชำระล้างระบบของๆ เก่าที่ล้าสมัยไปแล้ว ผมคิดว่านี่คือหนึ่งในความท้าทายของ Apple” แหล่งที่มา


  • 22
  •  
  •  
  •  
  •  
pigabyte
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น มาเรียนรู้และสนุกไปกับบทความ จาก MarketingOops! กันนะคะ แล้วเราจะได้ค้นพบว่าโลกของ Marketing นั้น So Sexy and Cool!