สตาร์ทอัพการตูนดิจิตอลอย่าง Madefire ประกาศจะหาเงินทุนในรอบล่าสุดไม่กี่วันที่ผ่านมา ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ “เบน โวลสเตนโฮลม” (Ben Wolstenholme) กล่าวว่า บริษัทพร้อมใช้เทคโนโลยีอย่าง Virtual Reality (VR) และ Augmented reality (AR) ปล่อยแอปพลิเคชั่นพรีวิวให้กับแพลดฟอร์ม VR บนอุปกรณ์สวมใส่ของ Sumsung และสาธิตการใช้งานในงานนิทรรศการคอมมิคที่นิวยอร์ค อย่าง New York Comic Con ซึ่งจัดในวันที่ 6-9 ตุลาคมที่ผ่านมา
โวลสเตนโฮลมบอกว่าเขาพยายามสร้างประสบการณ์ในดิจิตอลแท้ๆเทียบเท่าประสบการณ์ในการอ่านหนังสือคอมมิค ไม่ว่าจะเป็นบนโทรศัพท์ แท๊บเลต คือทีวีที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ด เพื่อหาทุนไปขยายบริการในVirtual Reality และ Augmented Reality แท้ๆ ถึงแม้ว่าโวลสเตนโฮลมบอกว่ามันเร็วเกินไปที่จะเปิดเผยรายละเอียด
เมื่อมาดูตัวอย่างการสาธิตแล้ว การมอบประสบการณ์แบบนั้นผ่าน VR ยังเป็นเรื่องที่ใหม่อยู่ เช่น การใช้ดนตรี เสียงประกอบ การเคลื่อนไหว แต่คุณก็ยังรู้สึกเหมือนได้ “อ่าน” คอมมิคอยู่นั่นเอง
httpv://www.youtube.com/watch?v=-rIOOR5RReM
ในขณะที่บริษัท Comixology (ซึ่งตอนนี้ Amazon เป็นเจ้าของไปแล้ว) เป็นบริษัทที่มีแพลดฟอร์มสำหรับดิจิตอลคอมมิคที่ทุกคนรู้จักกันดีที่สุด แต่ Madefire กำลังทำในสิ่งที่ต่างกันเล็กน้อย แทนที่จะเอาคอมมิคบนกระดาษมาขึ้นบนดิจิตอลแพลตฟอร์มและเปลี่ยนมันนิดหน่อย แต่ Madefire ใส่ความเคลื่อนไหว ใส่เสียงประกอบ ใส่ดนตรีผสมกันไปด้วย
โวลสเตนโฮลมได้อธิบายวิธีของMadefire ในการใช้ VR ใส่ความเป็นสามมิติให้กับคอมมิค แต่! มันไม่ใช่คอมมิคสามมิติแบบในภาพยนตร์หรือนิเมชัน คุณจะยังได้รับประสบการณ์เหมือนคุณกำลังอ่านคอมมิคอยู่
บริษัทจึงได้อธิบายผลิตภัณฑ์ล่าสุดว่าเป็น “Motion Book” ไม่ใช่คอมมิคที่เป็นภาพเคลื่อนไหวที่สำนักพิมพ์ได้ทดลองในอดีด โวลสเตนโฮลมได้เน้นว่า ถึงแม้ว่าจะมีมัลติมีเดียเข้ามา แต่ Motion Book ของ Madefire จะให้ประสบการณ์การอ่านคอมมิคที่ต้องการบาบาทของผู้อ่าน ไม่ใช่อ่านอย่างเดียวซึ่งแตกต่างกันตรงที่ตัวอักษรจะไม่ใช่แค่ถูกแทนที่ด้วยเสียงพูดแค่นั้น
“เราต้องการหนังสือที่ดีที่สุด ไม่ใช่วีดีโอที่แย่ที่สุด” โวลสเตนโฮลมบอก
เขาเปรียบเทียบทางเลือกอื่นๆอย่างการไปดูที่โรงหนังหรือดูภาพวาดบนผนังถ้ำ แล้วถามเราว่าเราชอบแบบไหนมากกว่ากัน เพราะแต่ละอย่างก็ให้ประสบการณ์ที่ต่างกัน เมื่อผมได้ลองทุกทางเลือก ผมก็รู้สึกว่ามันใช้พื้นที่ในการสร้างงานศิลปะเหมือนกัน มันเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่และเปี่ยมล้นมากกว่าการมาอ่านการ์ตูนผ่านหน้าจอแท็บเล็ดหรือสมาร์ทโฟนซึ่งช่วยให้เราดูฉากและเนื้อหาในคอมมิคได้รอบ 360 องศา
เครื่องมือที่ช่วยปรับแต่งคอมมิคของ Madefire ควรใช้ง่ายไม่ซับซ้อน เพื่อปรับแต่งและควบคุมทุกมิติของงานศิลปะได้ แต่ Madefire เองก็มีส่วนช่วยอัพเกรดคอมมิคในห้องสมุดได้ด้วย “เราควรทำให้ทุกอย่างไปอยู่ในแพลตฟอร์มนั้นก่อนวันคริสมาส”
httpv://www.youtube.com/watch?v=itfy3CU_NqA
ขณะเดียวกัน แอปฯสาธิตจะมีตัวอย่างของคอมมิคที่รู้จกักันดี อย่าง Injustice ของค่าย DC Comic และ The Old Curiosity Shop ของค่าย Madefire เอง โดย Madefire เริ่มจากการตีพิมพ์งานของตัวเองรวมถึงหนังสือของโวลสเตนโฮลมเองที่ชื่อว่า Mono แต่ตอนนี้ Madefire ได้ทำงานกับค่ายคอมมิคที่เรารู้จักกันดีอย่าง DC IDW และ Kodansha
โวลสเตนโฮลมบอกว่าถ้าเป็นไปตามแผนก็จะสามารถขายหนังสือได้มากกว่า 40,000 เล่มในแผงก่อนสิ้นเดือนนี้ Madefire ยังได้ออกผลิตภัณฑ์ที่ได้ชื่อว่า Motion Book Publisher ที่ให้เราสามารถไปตีพิมพ์คอมมิคแล้ววางขายที่หน้าร้านหรือในแอปพลิเคชั่นได้ และยังร่วมงานกับ Apple เพื่อสร้างหนังสือคอมมิคที่คอยอธิบายคู่มือและรีวิวในแอปสโตรด้วย
httpv://www.youtube.com/watch?v=IzjNVJ2DqbI
การนำ VR มาใช้จะช่วยให้เหล่าศิลปินสามารถออกแบบและคุมประสบการณ์ในการอ่านคอมมิคได้ด้วย VR ไม่ได้ทำให้เราสามารถใส่ลูกเล่นได้ แต่มันคือเนื้อเรื่องทั้งหมด และทุกคนก็สามารถเข้าถึงเครื่องมือพวกนี้ ไม่ได้มีอุปสรรคในการสร้างเนื้อเรื่องผลงานศิลปะของคุณเลย
เราจะได้เห็นเนื้อเรื่องในคอมมิคและตัวละครเคลื่อนไหวได้บนหนังสือคอมมิค เพราะแท้จริงแล้วคอมมิคก็เปรียบเสมือนตัวต้นแบบและเครื่องมือในการนำเสนอสำหรับพัฒนาภาพยนตร์ ด้วย นักเขียนและนักวาดคอมมิคคอมมิคจะสามารถใช้แอปพลิเคชั่นของ Madefire ส่งเสริมให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมได้ด้วย
Madefire สามารถหาทุนในรอบ Series B ได้รวม 6.5 ล้านดอลล่าร์ โวลสเตนโฮลมบอกว่า “การหาเงินทุนที่นำโดย “Santa Monica-based Plus Capital จะช่วยบริษัทสร้างเครือข่ายให้กับโลกของสื่อและความบันเทิง”
ก่อนหน้านี้ Madefire สามารถหาเงินทุนได้ 6.3 ล้านบาทจากนักลงทุน แต่ตอนนั้นเป็นช่วงที่ Madefire ไม่ใช่ไม่มีเครือข่ายคนรู้จักเลย แต่บริษัทกำลังจะก้าวจากจุดที่สร้างเทคโนโลยีไปสู่การสร้างห้องสมุดคอนเทนต์ขนาดใหญ่ด้วย”
“ผมคิดว่า Madefire มีวิสัยทัศน์ สร้างชุดแพลตฟอร์มที่เล่าเรื่องที่สามารถสร้างผลกระทบกับคนเสพสื่อได้” อดัม ลิวลิง ผู้ก่อตั้งพลัส แคปิตอล พูดไว้ “เราเชื่อว่า Madefire จะมีหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดในโลกสำหรับผู้ผลิตคอนเทนต์ และการทดลองสิ่งต่างๆพร้อมด้วยทรัพย์สินทางปัญญา มีสเกลผู้ชมที่ชัดเจน ทำให้ผู้ผลิตคอนเทนต์สามารถความคุมอนาคตของพวกเขาได้”
httpv://www.youtube.com/watch?v=oLFxfZ8Gjx4
แหล่งที่มา
https://techcrunch.com/2016/10/05/madefire-series-b/