รายงาน “ปรากฎการณ์อินเตอร์เน็ตทั่วโลก” โดย Sandvine ซึ่งเป็นบริษัทบริหารแบนด์วิธ เปิดเผยว่า เพียงแค่ Netflix รายเดียว ก็กินเนื้อที่ทราฟฟิคบนอินเตอร์เน็ตทั่วโลกถึง 15% แล้ว
ทั้งนี้เพราะแฟนรายการทีวีโชว์และภาพยนตร์ต่างก็เพลิดเพลินอย่างมากกับเนื้อหาวิดีโอ ซึ่งกินพื้นที่เกือบ 58% ของปริมาณการดาวน์โหลดบนอินเตอร์เน็ตทั้งหมด
รายงานดังกล่าวยังแสดงให้เห็นตัวเลขที่น่าตกใจเกี่ยวกับสถานะของทราฟฟิคบนเว็บด้วยเช่นกัน แต่ถ้ามองโดยภาพรวมแล้ว ก็ยังไม่มีบริการใดบริการหนึ่ง ที่ใช้แบนด์วิธมากมายเท่า Netflix
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ Netflix สามารถครองข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตได้มากขึ้นไปอีก หากไม่ได้ระมัดระวังการบริหารจัดการคอนเทนท์
ทั้งนี้รายงานพบว่า Netflix จะยิ่งใช้แบนด์วิธมากขึ้น หากไม่มีการบีบอัดวิดีโออย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถที่จะทำให้ปริมาณยิ่งเพิ่มมากขึ้นถึง 3เท่าจากปัจจุบัน
ปรากฎการณ์ที่ตกใจกว่านั้นก็คือ เทคโนโลยี 4K ที่กำลังจะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ด้วยคุณภาพความชัดแบบ 4K จะยิ่งทำให้วิดีโอต้องใช้แบนด์วิธหนักขึ้นไปอีก
ทั้งนี้รองจาก Netflix ก็คือ บริการวิดีโอที่จัดอยู่ในกลุ่ม HTTP Media Streams ซึ่งกินเนื้อที่บนอินเตอร์เน็ตถึง 13.1% และยูทูป อันดับสาม ที่มีสัดส่วนถึง 11.4%
จากข้อมูลพบว่า Netflix มีการเปิดรับสมัครสมาชิกแบบเสียค่าบริการเมื่อปี 2542 และในปี 2552 Netflix ก็มี DVD ให้เลือกเช่ายืมราว 1 แสนชื่อเรื่อง โดยมีสมาชิกผู้เช่าและผู้รับบริการมากกว่า 10 ล้านราย
ต่อมาในปี 2556 Netflix ก็เริ่มขยายธุรกิจไปยังการผลิตภาพยนตร์ต้นฉบับ จนถึงปี 2559 Netflix ผลิตภาพยนตร์ซีรีส์ และภาพยนตร์เรื่องยาวต้นฉบับกว่า 126 เรื่อง มากกว่าช่องโทรทัศน์และเคเบิลใดๆ
source Mashable Asia