ว่ากันว่า การทำงานแบบ Hybrid Office ตอบโจทย์กับการทำงานรูปแบบใหม่ แต่ขณะเดียวกันกำลังทำให้พนักงานรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิมหรือไม่ กำลังเป็นเสียงที่ดังแว่วขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องพื้นฐานอย่างที่นั่งในการทำงาน Hybrid Office มักมีรูปแบบที่เรียกว่า Hot desk คือรูปแบบที่ไม่มีโต๊ะที่นั่งทำงานส่วนตัว ใครจะนั่งตรงไหนยังไงก็ได้ ทุกโต๊ะคือของทุกๆ คน แต่นั่นอาจจะทำให้พนักงานรู้สึกอึดอัดได้ กับความรู้สึกที่เรียกว่า Feel like home ที่เคยเป็นเมื่อก่อนนั้น อาจจะไม่มีอีกแล้ว (ทั้งๆ ที่เป็นความพยายามของทุกออฟฟิศจะสร้างบรรยากาศให้พนักงานรู้สึกเช่นนั้น) แต่ตอนนี้ “ความเป็นของๆ พวกเขา” อาจจะต้องแลกมาด้วย การปรับให้พื้นที่ออฟฟิศ เกิดความคล่องตัวในการมากขึ้น เป็นพื้นที่สำหรับทุกคนแทน
อย่างที่ทราบดี ในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด ก่อนที่จะเป็นการทำงานในรูปแบบ virtual work อย่างที่ตอนนี้เราคุ้นเคยกัน พนักงานส่วนใหญ่ก็คือนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ พร้อมกับที่ออฟฟิศพยายามสร้างบรรยากาศให้รู้สึกอบอุ่น รู้สึกเหมือนการเป็นบ้านหลังที่ 2 ของเค้า เพราะต้องไม่ลืมว่า เวลาเกือบครึ่งค่อนวันสถานที่ที่ใช้มากที่สุดก็คือออฟฟิศ แน่นอนว่าใช้เวลาอยู่ด้วยมากกว่าบ้านเสียอีก ดังนั้น การสร้างออฟฟิศให้ Feel like home จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่บริษัทออฟเฟอร์ให้กับพนักงาน
จนทำให้เราเห็นภาพของความน่ารัก ความกระจุกกระจิกบนโต๊ะทำงานของพนักงานมากมาย ที่บางโต๊ะก็สะท้อนความชอบ ความเป็นตัวเองออกมา ไม่ว่าจะเป็น ภาพศิลปินคนโปรด ใครเมนใครก็ว่ากันไป หมอนผ้าห่มกันแอร์ กันหนาว (หรืองีบหลับก็แล้วแต่สะดวก) สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาพที่คุ้นชินตาของเราทุกคนในช่วงก่อนโควิดจะเข้ามาเยือน
แม้แต่งานวิจัยเชิงจิตวิทยาเองก็ออกมาบอกว่า ผู้คนส่วนใหญ่ (พนักงาน) ต้องการพื้นที่ส่วนตัวในสถานที่ทำงาน ซึ่งหมายถึงการเพิ่มสถานที่ที่ให้พวกเขารู้สึกว่า นี่คือที่ที่ เฉพาะของพวกเขา มากกว่าจะเป็นที่ของใครก็ได้
“การวิจัยแสดงให้เห็นว่ายิ่ง ‘อัตลักษณ์ของสถานที่’ ของพนักงานเพิ่มขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งผูกพันกับบริษัทมากขึ้นเท่านั้น” Sunkee Lee ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านทฤษฎีและกลยุทธ์องค์กรที่ Tepper School of Business ของมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน พิตต์สเบิร์ก สหรัฐอเมริกา อธิบาย
“พวกเขารู้สึกว่าออฟฟิศมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นและให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งนําไปสู่ความพึงพอใจมากขึ้นและทำให้ภาพรวมแล้วทำงานได้มีศักยภาพมากขึ้นนั่นเอง”
เสริมด้วยมุมที่ว่า การที่พนักงานจะทำงานแล้วรู้สึกพร้อม เพราะพวกเขารู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งรอบๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็น สิ่งของ บรรยากาศ หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงานโต๊ะข้างๆ ก็เช่นกัน
แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า เมื่อยุคของโรคระบาดมาถึงการทำงานแบบเข้าออฟฟิศฟูลไทม์ได้ยุติบทบาทลง เข้าสู่ไฮบริดเวิร์กเพลส ซึ่งนำมาสู่รูปแบบจัดออฟฟิศในแบบ Hot seat ที่ไม่ได้มีโต๊ะใครโต๊ะมัน และเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น รวมถึงจะต้องแบ่งปันเวิร์กสเตชั่นกับคนอื่น พื้นที่หรือของใช้ส่วนตัวก็ถูกนำกลับบ้านไป
อีกหนึ่งข้อบ่งขี้ว่าพนักงานรู้สึกสบายใจกับการทำงานที่เป็นส่วนตัวมากกว่า สังเกตได้จากการตกแต่งพื้นที่รอบๆ โต๊ะทำงานที่เป็นส่วนตัว โดย Sunkee Lee ระบุว่า “มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะปรับแต่งพื้นที่รอบๆ ตัวเอง เราจะเห็นว่า บางโต๊ะทำงาน อาจจะมีการตกแต่งด้วย รูปถ่าย รูปประกาศนียบัตร เครื่องประดับ ฯลฯ เหล่านี้คือ สัญลักษณ์ที่ละเอียดอ่อนเพื่อแสดงว่าคุณเป็นคนแบบไหน งานอดิเรกและความสนใจของคุณ”
เสริมด้วยงานวิจัยที่ระบุว่า ความคุ้นเคยเป็นประจํา มีผลต่อทำให้ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น หรือแม้กระทั่งบางงานวิจัยระบุว่า การวางภาพถ่ายครอบครัวบนโต๊ะทำงานก็สามารถทำให้พนักงานมีความรู้สึกซื่อสัตย์มากขึ้นโดยไม่รู้ตัวได้เช่นกัน
แต่เมื่อออฟฟิศถูกปรับพื้นที่ใหม่ที่ไม่มีความเป็นส่วนตัวแล้ว ก็มีความเสี่ยงของการที่พนักงานจะรู้สึกไม่มั่นคงท่ามกลางสภาพแวดล้อมการทำงานแบบชั่วคราวที่พวกเขาพบเมื่อเข้าออฟฟิศ ซึ่งอาจส่งผลต่อบางคนที่ทำให้รู้สึกเครียด มีความรู้สึกวิตกกังวล หรือรู้สึกเหนื่อยล้าได้
Sunkee Lee กล่าวว่า เคยได้ยินพนักงานบางส่วนบอกว่าหนักใจในการหาที่นั่งไปทำงาน นี่ยังไม่นับที่ว่าเขารู้สึกไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ที่ต้องไปนั่งเลยด้วย ความรู้สึกเหมือนเดินทางไปห้องสมุดเพื่อศึกษา ดังนั้น คุณก็อาจจะแค่ทำงานให้มันจบๆ ไป และมันไม่ได้เป็นพื้นที่มีตัวตนของคุณอยู่เลย
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ในโลกของการทำงานยุคใหม่ คำตอบอาจจะไม่ได้บอกว่าให้กลับไปทำงานแบบเดิมๆ อาจจะไม่ต้องถึงขนาดให้กลับมาใช้รูปแบบโต๊ะของใครของมันก็ได้ แค่ปรับเปลี่ยนสถานที่ทำงานให้พื้นที่ของความรู้สึกที่เป็นมิตรกับพนักงานในยุคไฮบริดได้
“การทําให้ผู้คนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ทางกายภาพยังคงเป็นสิ่งสําคัญ” Chris Crawford ผู้อํานวยการสตูดิโอของบริษัทออกแบบและสถาปัตยกรรม Gensler ในลอนดอน กล่าว “พวกเขายังคงต้องการความรู้สึกเสมือนบ้านอยู่ เพื่อยึดเป็นฐานที่มั่นของตัวเอง แม้ว่านั่นจะยังคงเป็นโต๊ะทํางาน แต่จุดมุ่งหมายคือการทําให้ผู้คนออกจากความคิดที่ว่าเฟอร์นิเจอร์สํานักงานขนาดหนึ่งเมตรคูณครึ่งเมตรนั้น เป็นที่ที่อยู่ของพวกเขา”
Chris Crawford กล่าวว่า ลักษณะทางสถาปัตยกรรมในตอนนี้กระตุ้นให้พนักงานคิดว่าพื้นทั้งหมดเป็นสภาพแวดล้อมทางกายภาพของตนเอง อย่างองค์ประกอบแบบอินเตอร์แร็คทีฟ ก็สามารถกระตุ้นให้พนักงานเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ อาทิ บันไดเปิดเชื่อมต่อพื้นที่ทํางาน ตู้เก็บของที่ไว้เก็บของใช้ส่วนตัว เป็นต้น
Crawford กล่าวว่า การกระตุ้นทางสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายใน อาจหมายความว่าคุณสามารถเดินเข้าไปในห้องและรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศได้ทันที เช่น จากแสงแดดที่อบอุ่นขึ้น จากเสียงที่นุ่มนวลขึ้น สําหรับพื้นที่ต้องการการโฟกัสก็อาจจะลึกเข้าไป รวมไปถึงพื้นที่เปิดโล่งและเฟอร์นิเจอร์และเลย์เอาต์บางประเภทที่ให้ความรู้สึกทํางานร่วมกันในแบบคอลลาบอเรชั่นก็มีส่วนช่วยได้
งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งสําคัญที่นายจ้างต้องคํานึงถึงองค์ประกอบเหล่านี้ จากการศึกษาในเดือนสิงหาคม 2022 ของพนักงานในสหรัฐอเมริกา 2,000 คน โดย Gensler ระบุว่า พนักงานรู้สึกว่าสถานที่ทํางานจําเป็นต้องอนุญาตให้มีการทํางานส่วนบุคคลและเสมือนจริง (virtual work) ควบคู่ไปกับการทํางานร่วมกัน เรียนรู้ร่วมกันทั้งแบบตัวต่อตัวและในแบบคอลลาบอเรชั่นด้วย
พื้นที่ทำงานแบบ Co-working spaces แบบผสมผสาน และมีความไดนามิก น่าจะเป็นรูปแบบที่บูรณาการตอบโจทย์การทำงานเทรนด์ใหม่ Ebbie Wisecarver หัวหน้าฝ่ายออกแบบระดับโลกของ WeWork ที่นิวยอร์ก กล่าวว่า ขณะนี้พนักงานกําลังมองหาการเชื่อมต่อที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับสถานที่ทํางานแบบไฮบริด ด้วยเหตุนี้ บางบริษัทจึงให้ให้คําแนะนำแก่พนักงานว่า รูปแบบออฟฟิศต่อไปของพวกเขาจะเป็นอย่างไร “ทาง WeWork เรามีเซสชันการสร้างสรรค์ร่วมกันที่ช่วยเกิดพื้นที่ตรงกลางระหว่างธุรกิจและสิ่งที่จะทำให้พวกเขามีพื้นที่ของตัวเอง” Crawford กล่าวย้ำว่า “กระบวนการออกแบบเองกําลังถูกทําให้เป็นประชาธิปไตย”
ดังนั้น อาจจะพอสรุปได้ว่า การจัดที่นั่งในออฟฟิศ เป้าหมายสำคัญ ในยุคของการทำงานแบบไฮบริด คือการที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องยึดให้เป็นพื้นที่ถาวรของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันคือการทำให้เป็นพื้นที่เดียวกันทั้งหมดของเวิร์กสเตชั่น โดยที่ทั้งสํานักงานจะมีประสบการณ์พนักงานแบบองค์รวมที่ได้รับการดูแลจัดการเป็นของตัวเอง
ทั้งหมดนี้ สิ่งสำคัญคือมันไปไกลกว่าแค่เรื่องโต๊ะทํางานมาก แต่มันเกี่ยวกับการทําให้ผู้คนสามารถเลือกวันทํางานของตัวเองผ่านพื้นที่ที่มีความหลากหลาย มีทางเลือกและความแตกต่าง เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่า ‘สถานที่แห่งนี้เหมาะกับฉัน‘