คลิกที่วิดีโอ เพื่อชมย้อนหลัง
ถ้าคุณบอกว่าไม่เคยได้ยินเรื่อง Crypto – NFT – Metaverse เราคงไม่เชื่อ แต่ถ้าบอกว่า…ยังไม่เข้าใจ หรือยังไม่แน่ใจว่ารู้จัก Crypto – NFT – Metaverse ถูกต้องหรือไม่ ประเด็นนี้ยังถือว่าโอเค เพราะจริงอยู่ว่าช่วงนี้เราได้ยินคำว่า Crypto – NFT – Metaverse ซ้ำ ๆ จากหลายส่วน ทั้งฝั่งนักลงทุน ผู้ชื่นชอบงานศิลป หรือแม้แต่ความเคลื่อนไหวจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
ดังนั้น กิจกรรม Today at Apple จาก 6 ซีรีส์ในคอนเซปต์ Creative for Business ภายใต้ความร่วมมือของ Apple และ Marketing Oops! จึงมีหัวข้ออินเทรนด์อย่าง ขับเคลื่อนธุรกิจสู่โลกดิจิทัล กับ คุณอริยะ พนมยงค์ CEO Transformational เพื่อทำให้คุณเข้าใจและอินเทรนด์กับโลกดิจิทัล ทั้ง Crypto – NFT – Metaverse ได้อย่างเพลิดเพลิน
แม้ว่าจะพลาดโอกาสสุดพิเศษในการรับชมรับฟังแบบสด ๆ แต่รับรองว่าอ่านบทความนี้ ก็เหมือนว่าคุณได้นั่งฟังอยู่ภายในงาน โดย คุณอริยะ ได้อธิบายทุกประเด็นเกี่ยวกับ Crypto – NFT – Metaverse เอาไว้อย่างละเอียด ว่า…
Crypto, NFT, Metaverse สร้างการเปลี่ยนแปลงให้โลก
– ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คนได้ยินและรู้จักคำว่า Metaverse มากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ยังคงไม่เข้าใจคำเหล่านี้ ทั้ง crypto, NFT, Metaverse เชื่อว่าปัจจุบันมีคนที่เข้าใจเรื่อง Crypto, NFT, Metaverse ไม่ถึง 2% ของประชากรโลก
– ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะ NFT ที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ทำให้เราต้องเรียนรู้ว่าลิขสิทธิ์ไม่ได้อยู่ที่ศิลปินอีกแล้วแต่อยู่ที่เจ้าของ
โลกสมัยใหม่ คือ โลกแห่งเทคโนโลยี
– ปัจจุบัน อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ Tech
– หากพิจารณาจากมูลค่าบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ย้อนหลังไปในปี 2011 จะพบว่า 10 อันดับแรก มีบริษัทด้านเทคโนโลยีเพียง 3 บริษัท แต่ในปี 2021 มีบริษัทเทคโนโลยีถึง 8 จาก 10 อันดับแรก โดยอันดับ 1 คือ Apple ซึ่งมี Market cap ที่ 2,286,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหากย้อนไปที่ปี 2020 จะพบว่า Market cap ของ Apple อยู่ที่ 1,113,000 ล้านเหรียญ สะท้อนว่านี่คืออุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19
Crypto โตเร็วเพราะ Decentralized
– หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเร็วและใหญ่ที่สุด คือ Crypto
– เราอยู่ในยุค Internet of Information ซึ่งมีการเคลื่อนไหวของข้อมูล ทั้งข้อความ รูปภาพ วิดีโอ แอปพลิเคชัน ทำให้เราสามารถเข้าถึงและค้นหาข้อมูลได้ทุกอย่างผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งยุคนี้เปรียบเสมือนการสร้างถนน เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐาน จนวันนี้มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 4,600 ล้านคนทั่วโลก หรือ 2 ใน 3 ของจำนวนประชากรโลก เรียกว่าเรามีถนนที่ทำให้ทุกคนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้เหมือน ๆ กัน
– แต่ปัจจุบัน เรากำลังเข้าสู่ยุค Internet of Value ซึ่ง Value ก็หมายถึง สกุลเงิน สินทรัพย์ และสิ่งที่มีมูลค่าอื่น ๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนอินเทอร์เน็ต ประกอบกับเรามีอินเทอร์เน็ตซึ่งเปรียบเสมือนถนนพร้อมใช้งานแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่การมาของ Crypto หรือ Blockchain จะเติบโตเร็วขนาดนี้
– ปัจจุบันมี 200 ล้านคนทั่วโลก ที่ใช้ crypto คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 4% ของจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต สะท้อนโอกาสเติบโตที่ยังมีอีกมาก ส่วนตัวคาดว่าในปี 2022 อาจมีผู้ใช้งานมากถึง 1,000 ล้านคน
– มูลค่าตลาด Crypto อยู่ที่ 2.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ อัตราการเติบโตอยู่ที่ 4 เท่า ภายในระยะเวลา 10 เดือน โดยเงินจำนวนนี้ก็คือเงินจากระบบ Traditional ที่ไหลออกสู่โลก Crypto นั่นเอง
สรุปข้อดีของ Cryptocurrency
– Cryptocurrency คือเทคโนโลยีไม่ใช่แค่สกุลเงิน ซึ่งมีความ Decentralized คือ ไม่มีคนกลาง ทุกอย่างจึงเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีผู้ควบคุม คือ ไม่มีรัฐบาล ไม่มีแบงก์ชาติ ไม่มี กลต. ที่ควบคุม สะท้อนว่า Cryptocurrency เป็นระบบของประชาชน นอกจากนี้ ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ทุกคนมีสิทธิ์แค่เรียนรู้ว่าใช้งานอย่างไร และปลอดภัย เพราะมีเพียงกระเป๋าเดียว
NFT สิ่งที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวและมีเจ้าของเพียงคนเดียว
– NFT ย่อมาจาก Non-Fungible Token หมายความว่าสิ่งนั้นมีเพียงชิ้นเดียวและมีเจ้าของเพียงคนเดียว
– หลายคนบอกว่า NFT ก็คือรูปภาพจากอดีตเราสามารถเซฟรูปภาพจากอินเทอร์เน็ตมาได้เลย แต่วันนี้ NFT มีมูลค่าตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักล้าน ต้องอธิบายว่า…หากเป็นโลกยุคเดิม สินทรัพย์ราคาแพงที่เรามีอยู่ ทั้งนาฬิกา กระเป๋าราคาแพง หรือรถยนต์ แต่ถ้าไม่ได้นำออกมาใช้งานก็ไม่มีใครรู้ว่าเรามีข้าวของเหล่านั้น ซึ่งในอดีต เราอาจซื้อสินค้าราคาแพงเพราะความชอบหรือต้องการลงทุน ทั้งหมดนี้เรียกว่า The Flex คือ การโชว์ แต่ชีวิตจริงในช่วง COVID-19 ทำให้เราใช้ชีวิตบนออนไลน์เป็นหลัก และนั่นคือหลักการเดียวกับ NFT ที่เข้ามาเป็น Ultimate Flex และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม NFT จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
– ความนิยมของ NFT เริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 จาก Nyan Cat ที่ถือเป็นการจุดประกายจาก Meme ซึ่งขายไปในราคา 590,000 เหรียญสหรัฐ จากนั้นก็มีผลงานของศิลปิน Beeple ในชื่อ Everydays: The First 5000 Days ที่สามารถขายได้ถึง 69 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในเดือนพฤษภาคม ก็มีผลงานของ CryptoPunks ที่ขายได้ 17 ล้านเหรียญสหรัฐ และในเดือนมิถุนายน ก็มีผลงาน Alien CryptoPunks ที่ขายได้ 11.8 ล้านเหรียญ
– หรือยกตัวอย่าง NFT คอลเลกชัน BAYC (Bored Ape Yacht Club) ซึ่งมีประมาณ 10,000 NFT แต่มีอยู่ 1 BAYC ถูกขายไปในราคา 769 ETH หรือประมาณ 76 ล้านบาท เมื่อเดือนกันยายน ซึ่งราคาดังกล่าวจะสามารถซื้อรถยนต์ Lamborghini ได้ถึง 3 คันเลยทีเดียว
– ดังนั้น สิ่งที่ทำให้ NFT เหล่านี้ราคาสูง ส่วนหนึ่งก็มาจากการความต้องการ Flex นั่นเอง
NFT มีหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่ผลงานศิลปะ
– NFT ที่ได้รับความนิยมคือ NFT PFP (Profile Picture) ปัจจุบัน จะเห็นว่ามีหลายคนใช้ NFT เป็นตัวแทน PFP บนโซเชียลมีเดียอย่าง Twitter เริ่มแพร่หลายแล้ว เพื่อแสดงความเป็น Identity และเป็น Your Community เห็นเมื่อไหร่ก็รู้ว่านั่นคือพวกเดียวกัน
– NFT Art ก็เป็นอีกรูปแบบที่ได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่ให้ความสนใจศิลปะมาก่อนหรือไม่ก็ตาม เพราะถือเป็นอีกหนึ่ง Democratization ที่นอกจากจะสร้างโอกาสให้ศิลปินแล้ว ก็ยังทำให้เข้าถึงผู้คนอีกมากมาย ซึ่งมีผลงานจากหลายศิลปินที่สามารถขายได้ราคาหลักล้านหรือหลายล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีความน่าสนใจอยู่ที่ผลงานแบบ Generative Art จากศิลปินที่ชื่อ Eponym by ART AI ซึ่งศิลปินเป็น AI ไม่ใช่มนุษย์
“ความเจ๋งของ NFT ยังมีในส่วนของ an innovative business model ด้วย คือมี NFT Royalties ที่จะฝังไว้อยู่กับผลงานเพื่อบอกให้ศิลปินรู้ว่าตนเองจะได้กี่เปอร์เซนต์จากยอดขาย ถูกบันทึกลงไปโดยไม่ต้องมีการเซ็นสัญญา ไม่ต้องติดตาม และไม่ว่าจะมีการซื้อขายเกิดขึ้นกี่ครั้ง รายได้ส่วนนี้ก็จะถูกส่งถึงศิลปินโดยตรง นั่นทำให้ NFT ไม่ได้เป็นเพียง .JPG เป็นการลงทุน หรือเรื่อง Flex แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของ NFT คือ Internet Culture”
– NFT Gaming ถูกพูดถึงว่าเป็นอนาคตของ crypto ด้วย จากเดิมเราเล่นเกมโดยเป็นผู้จ่ายเงินให้เกมนั้น ซื้อเกม ซื้ออาวุธในเกม ถ้าเลิกเล่นก็หมดมูลค่าทันที…เรียกว่า pay to play แต่ปัจจุบันกลายเป็น play to earn คือเราเล่นเกมแล้วได้เงิน เพราะเราคือเจ้าของที่แท้จริง ถ้าเลิกเล่นเกมก็ขายต่อให้คนอื่นได้ในราคาที่เราเป็นผู้กำหนดเอง
– ยกตัวอย่าง NFT Gaming ที่ใหญ่และดังที่สุดในปัจจุบัน คือ เกม Axie Infinity ซึ่งเป็นอันดับ 1 ของโลกในขณะนี้ เพราะมีประเทศฟิลิปปินส์มีประชากรจำนวนมากหันมาประกอบอาชีพเกมเมอร์เล่นเกม Axie Infinity โดยเฉพาะ และมี Business Model ที่น่าสนใจ คือ มีการจ้างผู้เล่นให้เล่นและนำรายได้มาแบ่งกัน
ความสำคัญจากเรื่องนี้ คือ ปัจจุบันทั่วโลกมีเกมเมอร์ถึง 3,000 ล้านคน ขณะที่ผู้เล่น Crypto มีอยู่เพียง 200 ล้านคน ดังนั้น หากพวกเขารู้ว่าสามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น play to earn ได้บนโลกของ NFT ก็อาจกลายเป็น Mass Adoption ของ Crypto ในที่สุด
Metaverse ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่…
– สิ่งที่จะทำให้ Metaverse เกิดขึ้น คือ ระบบนิเวศและการเชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์
– หากพิจารณาจาก The Sandbox (หนึ่งใน NFT ที่เป็นเกมแนว Virtual World) จะพบว่ามี Community ของคนไทยอยู่แล้ว หากยกตัวอย่าง Metaverse ก็คือ หากเราสร้างโครงการแล้วไม่มีใครเข้ามาอยู่ก็เหมือนเป็นโครงการร้าง แต่เมื่อมี NFT ซึ่งเป็น Community เข้ามา ก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาอยู่ในทันที ทั้งหมดจะกลายเป็นระบบนิเวศแห่งใหม่ที่เชื่อมต่อระหว่าง NFT, Metaverse และ Gaming จนทำให้ Metaverse เกิดขึ้น
3 ปัจจัยกระตุ้น Crypto ให้เกิด Mass Adoption
สิ่งที่จะกระตุ้นได้ก็คือ…
- การที่บริษัทใหญ่ ๆ หรือรีเทลรายใหญ่ ประกาศว่าสามารถใช้ Crypto ซื้อสินค้าได้
- หากเกมเมอร์กว่า 3,000 ล้านคนทั่วโลก หันมาเล่น NFT Gaming
- Facebook ที่มีผู้ใช้งานมมากกว่า 3,000 ล้านคน ได้สร้าง Metaverse จะเท่ากับมีประตูเชื่อมต่อขึ้นใหม่ทันที ทำให้ผู้ใช้ Facebook จำนวนมากได้เข้าถึง Crypto
ทั้งหมดนี้ จะทำให้ Crypto และ NFT เกิด Mass Adoption ได้ทันที หากใครถามว่า 3 ข้อนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่าข้อที่ 3 ได้เกิดขึ้นแล้ว และทุกอย่างอาจมาเร็วกว่าที่เราคิด
ท้ายที่สุด คุณอริยะ ฝากถึงทุกคนว่า WAGMI ! We Are Going to Make It
แต่ถ้าคุณยังไม่เคยเจ็บตัวนั่นแปลว่า…คุณยังไม่ได้อยู่ในโลก Crypto