‘Lost in Thailand…แก๊งม่วน ป่วนไทยแลนด์’
คือภาพยนตร์ตลกโปกฮา ที่ทำให้คนจีนหันหางเรือมุ่งหน้าตรงดิ่งทยอยเข้ามาท่องเที่ยวในบ้านเรา ปัจจุบันเศรษฐกิจประเทศจีนมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ค่าเงินหยวนแข็งโป๊กราวกับก้อนน้ำแข็งในช่องฟรีซ ทุกวันนี้ชาวจีนร่ำรวยกันมากขึ้น จึงส่งผลให้มีชาวจีนมากมายแห่แหนเดินทางไปเที่ยวรอบโลก ดูได้จากตัวเลขการเดินทางออกนอกเขตแดนจีนในปี 2554 ที่มีประมาณ 78.4 ล้านเที่ยว และเมืองไทยก็เป็นเป้าหมายปลายทางยอดนิยมแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีน
แต่นั่นใช่นักท่องเที่ยวจริงๆหรือเปล่า? หรืออาจจะเป็นค่านิยมอะไรบางอย่างของพี่จีนเขา ทางการจีนเขามองการณ์ไกลอาจจะอยากเชื่อมสัมพันธไมตรีกับบ้านเรา จึงได้ส่งนักท่องเที่ยว ที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างไม่ดีในด้านระเบียบวินัย เข้ามาเที่ยวเล่นอยู่กับพวกเรา มีผลสำรวจการจัดอันดับที่ออกมาเผยว่า…นักท่องเที่ยวจีนเป็นนักท่องเที่ยวยอดแย่อันดับสองของโลก โดยผลสำรวจได้ระบุว่าสิ่งที่รับไม่ได้ที่สุดของนักท่องเที่ยวชาวจีนคือ ‘มารยาท’ และ ‘ความสะอาด’ ทำให้หลายประเทศถึงกับเข็ดขยาดกับนักท่องเที่ยวเหล่านี้ หลังจากนั้นจีนก็แก้เกมส์ของตัวเองด้วยการส่งคู่มือท่องเที่ยวอย่างมีอารยะ ฉบับสมบูรณ์ ความหนา 64 หน้า ออกมาเพื่อลดกระแสต่อต้านของชาวโลกต่อนักท่องเที่ยวของเขา พร้อมรับปากว่า “หลังจากนี้จะไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นอีก”
‘ดัด’ ชนีความสุข
แต่รู้ไหมว่าในความเป็นจริงแล้ว ไอ่คู่มือการท่องเที่ยวอย่างมีอารยะนั้น ใจความของมันคือสิ่งที่ชนชาติต่างๆนั้นไม่ชื่นชอบ อะไรคิดว่าไม่ดีให้ทำต่อไป คำถามต่อมาคือ…ทำไมต้องเป็นประเทศไทย? เราก็เลยตั้งข้อสังเกตว่าใครๆก็อยากเที่ยวในประเทศที่อบอุ่น สงบสุข และมีความเป็นกันเองทั้งนั้น หวยจึงมาออกที่ประเทศไทย เพราะจีนเล็งเห็นแล้วว่าบ้านเรานั้นแข็งแกร่งที่สุดในแถบประเทศอาเซียนด้านดรรชนีความสุขของคน สังเกตได้จากผู้นำของประเทศที่ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้ทุกที่ไป สมกับที่ได้ฉายา ‘สยามเมืองยิ้ม’ หรือที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีในนาม The Land of Smile
เมื่อล็อกเป้าได้แล้ว ทางผู้นำจีนก็ลงมือในสเต็ปต่อมาด้วยการเข้ามาหารือกับเราหลายประการ อันดับแรกก็คือ…เสนอให้ไทยงดเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีน อันดับต่อมาคือเรื่องที่จีนจะเข้ามาลงทุนในระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากคุนหมิง ผ่าน ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยที่ขึ้นชื่อว่ารถติดฉิบหายวายปวกที่สุดในภูมิภาคนี้…กลายเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคม หากสำเร็จทั้ง 2 เมกกะโปรเจ็กต์นี้ เชื่อว่าจะเกิดการหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามา จนอาจสร้างความแปลกใหม่สุดสะพรึงให้กับพี่ไทยเราอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่แท้ เรามาดูกันว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้ เขามีพฤติกรรมสุดสะพรึงอะไรกันบ้าง เผื่อวันหน้าเราจะได้เตรียมรับมือได้อย่างทันท่วงที
เรอ
การเรอ: ชาวจีนอาศัยวัฒนธรรมเก่าแก่เกี่ยวกับมารยาทบนโต๊ะอาหารมาเล่นงานเราได้อย่างแยบยล คนจีนบอกว่าการเรอ เหมือนกับคำชม ยิ่งเรอดังยิ่งอร่อย…อร่อยบ้านฟาเตอร์สิ! เหม็นสุดติ่งเลย ยิ่งถ้าพี่แกมานั่งรวมกันหลายๆคน แล้วเรอพร้อมกันนี่ เราอาจมีสิทธิ์ติดเชื้อเป็นโรคปอดอักเสบได้เลยนะ
ระดับความรุนแรง: ขึ้นอยู่กับประเภทของอาหารและปริมาณประชากรร่วมโต๊ะ ถ้าบริโภคพวกของธาตุหนัก อย่างเช่น กระเทียมพริกไทยนี่จะมีอานุภาพที่ร้ายแรงมาก
ตด
ผายลม: คนจีนถูกปลูกฝังว่าการตด ก็เหมือนกับความคิดถึง เราจะรู้สึกดีถ้ามีคนสัมผัสได้…ดิชั้นว่าดิชั้นได้กลิ่นแปลกๆ ดิชั้นสัมผัสได้ คุณแท็ครู้สึกเหมือนกันหรือเปล่าคะ? ได้สิครับคุณเจน ตอนนี้ผมขมคอมากเลยครับ โอ้พระเจ้า!!! แท็คจะเป็นลม น่าจับไปทุ่มบกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย นี่รถทัวร์นะคะไม่ใช่รถส่วนตัว เฮ้ยพวกนายไม่เอาลุคกันบ้างเลยเหรอ ถ้าเป็นทัวร์หมื่นปีที่มีแต่อากง อาม่า ก็ไม่ว่ากัน เพราะคงไม่หวังจะมาหาคู่ชีวิตกันในเมืองไทยอยู่แล้ว แต่ว่าบางคนที่ยังหนุ่มยังสาวนี่ กะไม่หวังได้ตีหัวเมืองหลักของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างกรุงเทพฯบ้างเลยเหรอ เจอแบบนี้ต้องจ้างให้ไปขับถ่าย…กี่หยวนว่ามา!
ระดับความรุนแรง: ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ ยิ่งแคบอย่างเช่นในลิฟต์ อานุภาพจะแรงมาก และสังเกตได้จากเสียง ถ้าเป็นเสียงแหลมๆหน่อยจะเหม็นมาก เพราะเวลาคนปวดส้วมนิดๆ จะไม่กล้าปล่อยลมแบบเต็มแรง ต้องค่อยๆปล่อยออกมา กลัวอุนจิจะเล็ด นั่นคือที่มาของคำว่า ‘ตดหัวขี้’ แต่มีตดอีกชนิดแถวบ้านเรียกมัจจุราชเงียบ ถ้ามาแล้วจะรุนแรงมาก แถมจับมือใครดมไม่ได้ ต้นตอมาจากใครก็ไม่รู้ แต่เราโทษพี่จีนไว้ก่อน
อุจจาระ
ขี้: ถ้าเห็นส้วมที่ปิดฝาอยู่ สัญชาตญาณของเราจะบอกว่าไม่น่าเสี่ยง แต่นี่ห้องน้ำรวมแล้วดันมีห้องเดียวทำไงดีจ๊ะ! ขณะยืนลังเลอยู่นั้น ก็มีสาวน้อยสัญชาติจีนเดินพรวดพราดแซงคิวเข้าห้องน้ำไป ในใจลึกๆแอบคิดว่า “ซวยแล้ว” หลังจากนั้นไม่นานผมก็เดินสวนเธอเข้าไป ผมถึงกับตะลึงจนหูรูดเกร็ง เพราะสิ่งที่พบเจอคืองูเห่าสองตัวขนาดประมาณแขนพาดทับกันอยู่เป็น 2 Layer แบ่งสีกันอย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้มีเจ้าถิ่นจับจองพื้นที่อยู่แล้ว แต่เธอยังปล่อยงูอีกตัวลงไปพร้อมยักใหล่บอก “กูไม่แคร์” ใจคออำมหิตมาก กะฆ่าให้ตายเลยสินะ นี่ไม่เคยอ่านชาวนากับงูเห่าเลยใช่มั้ย มันเป็นปริศนาลึกลับที่แม้แต่เจ้าหนูโคนันก็ยังมิอาจหาคำตอบได้ นั่นคือ…ทำไมน้องไม่กดส้วม?
ระดับความรุนแรง: ขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้นเราปวดมากแค่ไหน ทนได้หรือเปล่า ทนได้ก็รอห้องอื่นไป ทนไม่ไหวก็คำเดียวเลยครับ…นรก!
ขากถุย
ถ่มน้ำลาย: เคยมีชาวจีนหลงทัวร์มาถามทางอยู่หนหนึ่ง แต่พูดภาษานาเม็กอะไรไม่รู้เรื่องเลย ด้วยความรำคาญเลยบอกทางแบบมั่วๆไป ไม่คิดว่าวันนี้ชาวจีนเหล่านั้นจะแค้นฝังหุ่น ใช้เหตุผลนี้มาเป็นข้ออ้างในการ ‘ถ่มน้ำลาย’ ทำลายทัศนียภาพของเราไปทุกหนแห่ง ใครก็ตามที่ไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แล้วเห็นคราบน้ำลายกระจายตัวเป็นจุดๆ นั่นแสดงให้เห็นว่าทัวร์จีนได้เดินผ่านมาทางนี้แล้ว ถ้าใครหลงให้เดินตามมา ถ้าเป็นน้ำลายกองใหญ่ๆ แสดงว่าตรงนี้สูบบุหรี่ได้คะ ไม่ต้องรีบ ควักบุหรี่ขึ้นมาสูบอย่างสบายอารมณ์ก่อน แล้วจะไปไหนต่อก็เดินตามทางน้ำลายมาละกัน
ระดับความรุนแรง: ขึ้นอยู่กับปริมาณของประชากร ถ้าทัวร์ลงสัก 10 คัน ตรงบริเวณที่พักสูบบุหรี่จะกลายเป็นบ่อน้ำโอเอซิสเลย ไอบ้า! ประเทศไทยไม่ได้แล้งขนาดนั้น
แซงคิว
แซงคิว: เป็นการทำลายดรรชนีความสุขที่มีประสิทธิภาพสูง ได้ผลเป็นวงกว้าง ประหนึ่งยิงปืนครั้งเดียวได้นกสองตัว เพราะแซงหนึ่งทีนี่เครียดกันทั้งแถว และกลเม็ดนี้สามารถทำได้ทุกที่ด้วยซิ ทั้งคิวห้องน้ำ คิวกินข้าว คิวขึ้นรถ คนพวกน้ีถูกฝึกวิชามาอย่างแข็งแกร่ง ย่ิงด่ายิ่งตอบโต้ ถ้าเราสะกิดเบาๆ พี่แกจะตะโกนกลับมาด้วยเสียงที่ดังกว่าหลายเท่า แล้วเป็นภาษาอาฉี่อะไรก็ไม่รู้ กลายเป็นเราอายแทนเลย เหมือนเราทำผิดโดนจับได้แล้วก็โมโหแก้เขิน
ระดับความรุนแรง: ขึ้นอยู่กับคิวของแถว ยิ่งยาวยิ่งทวีคูณความบันดาลโทสะ
ต่อราคา
ต่อราคา: ฮาวมัช? ตอบไป “ไฟว์ฮันเดร็ด” พี่แกกดเครื่องคิดเลขกลับมาให้ดูตัวเลข 100 เราบอก โน! โน! เต็มที่ทรีฮันเดร็ด กดกลับมาให้ดูอีกทีร้อยยี่ พระเจ้า!!! บอกไม่ขายก็ส่ายหน้าแล้วเดินหนีไป ต่อแบบนี้คิดในใจนี่พี่จะไม่ให้กำไรผมเลยเหรอ ที่ต่อนี่ต้นทุนยังไม่ได้เลย ไม่ใช่หมูปลอมต้นทุนต่ำอย่างบ้านพี่นะ! นี่รวมไปถึงความขี้งกแบบสุดๆ จนเราต้องเอือมไปตามๆกัน มีคนเคยเจอชาวจีนแต่งชุดนักศึกษาอยู่ที่เชียงใหม่ เลยเข้าไปพูดคุยด้วยว่ามาเรียนที่นี่เหรอ พี่แกบอกว่า “เปล่า เห็นใส่ชุดนักศึกษาไปไหนแล้วเขาจะลดราคาให้ อย่างเช่น รถแดง” สะพรึงกันทั้งตำบล! นี่พี่ทำลายถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของผมเลยนะเนี่ย มีอีกกรณีเจอพวกพี่แกไปบริโภคก๋วยเตี๋ยวกัน ทางร้านก็ใจดี๊ใจดี ให้ตักซุปกระดูกหมูฟรี มากัน 3 คน พี่แกสั่ง 1 ชาม พร้อมตักกระดูกหมูไปแทะเล่นๆประมาณ 5 โลฯ ได้ไม่ให้ทิปซักบาท แถมทิ้งกระดูกให้ดูต่างหน้าเต็มพื้นอีกต่างหาก
ระดับความรุนแรง: ขึ้นอยู่กับว่าเป็นช่วงไหนของเดือน ต้นเดือนก็ไม่ค่อยเป็นไร แต่ปลายเดือนนี่…ปลายประสาทอาจจะอักเสบเอาได้ครับ
เสียงดัง
เสียงดัง: ลำพังพี่เขามาคนสองคนก็หนวกหูบรรลัยแล้ว ยิ่งมารวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่ๆแล้วล่ะก็ ไม่ต่างอะไรกับม็อบที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ เสมือนมีเครื่องเสียงระดับหนึ่งแสนเดซิเบลวัตต์อัดแน่นอยู่เต็มพื้นที่ บางที่มีนกหวีดอีกด้วย หนวกหูโฮกๆ เมื่อไหร่ที่ผู้นำม็อบยกระดับการชุมนุมขึ้นด้วยการโหวกเหวกใส่อารมณ์แล้วล่ะก็ คนในม็อบจะยิ่งส่งเสียงให้ดังสูสี เพื่ออรรถรสที่เท่าเทียมกัน พี่ไม่ต้องยกระดับความรุนแรงขนาดนั้นก็ได้ นี่ในวัด ไอ่บ้า!! แก้วหูดับไปหมดแล้วเนี่ย
ระดับความรุนแรง: ขึ้นอยู่กับแกนนำ และขนาดของม็อบ
No กาลเทศะ
ไม่มีกาลเทศะ: นอกจากดูจระเข้แล้ว สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์บ้านเรา วัดเก่า อารามณ์หลวง นี่เป็นสถานที่ยอดฮิตของชาวจีนเลยครับ พี่แกพร้อมที่จะสร้างสรรค์งานศิลปะใหม่ๆให้กับประวัติศาสตร์อันน่าภูมิใจของไทยเราได้เสมอ ด้วยการแอบวาดรูปโดเรม่อนตามผนังถ้ำ แถมบางทียังขึ้นไปถ่ายรูปบนเศียรพระ ราวกับว่าได้ไปถ่ายรูปกับดาราเกาหลี โท่ถัง!!! นี่ไม่ใช่ครกยักษ์ส้มตำปูม้าป้าประไพร หรือสัญลักษณ์ของบ้านลาปลาเผา ที่พี่เห็นตามตลาดนะ
ระดับความรุนแรง: ขึ้นอยู่กับความศักดิ์สิทธิ์ และแรงศรัทธา
วิถีนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีน
แหล่งที่พบเจอ: โบ๊เบ๊, สำเพ็ง, พันธุ์ทิพย์, วัดพระแก้ว, เชียงใหม่ ฯลฯ
วิธีสังเกต: ถือถุง Naraya มากันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ หรือได้ยินเสียงโหวกเหวกมาแต่ไกล ให้สันนิษฐานไว้ในใจว่า… “ใช่เลย”
เป็นไงล่ะครับ สะดุ้งโหยงกันเลยใช่ไหมล่ะ กับไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวชาวจีน นี่แค่แบบเบสิคๆนะ แต่อย่างน้อยหากเราดูจากตัวเลขการใช้จ่ายแล้ว เฉลี่ยคนจีนจะใช้เงินประมาณ 6,500 บาทต่อคนต่อวัน ถ้านักท่องเที่ยวคนหนึ่งมาเมืองไทย 6 วันก็จะมีเงินหมุนเวียน 40,000 บาทต่อคน คูณ 4 ล้านเข้าไปสิ ปีๆนึงคนจีนหอบเงินมาถลุงในบ้านเราแสนกว่าล้านบาท แค่ตรุษจีนเทศกาลเดียวบ้านเราก็ฟันเงินจากนักท่องเที่ยวจีนไปแล้วเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ไหนๆเราก็ขาดนักท่องเที่ยวจีนไปไม่ได้ แถมยังแก้นิสัยเขาไม่ได้อีก เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามเลยละกัน ตามสุภาษิตของบ้านเรา ทำใจให้ชินคิดซะว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนกับมะเร็ง ถ้ามันเกินเยียวยาเราต้องอยู่ร่วมกันกับมันให้ได้อย่างมีความสุข และไม่เครียดไปกับมัน มองโลกให้เป็น 2 ด้าน เมื่อคนไทยคิดได้แบบนี้แล้ว เราก็จะอยู่ร่วมกับทุกชนชาติได้อย่างสบายบรื๋อครับ…รวมถึงกับคนในชาติของเราเอง
อนึ่ง, แม้แต่เรื่องแย่ๆ หากเรามองเป็นเรื่องดีได้ นี่แหละโลก 2 ด้าน…ที่อยู่บน ‘โลก’ ใบเดียวกัน
แหล่งที่มา: นิตยสาร DAMN Magazine