7 หนังสือขึ้นหิ้ง The BEST ของการสร้างประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น รับปี 2021

  • 563
  •  
  •  
  •  
  •  

เชื่อว่าปี 2020 น่าจะเป็นปีที่ที่หลายคนได้ใช้พลังงานชีวิตหมดไปมากที่สุดเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านๆ มา และก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ปี 2021 นี้ก็อยากที่จะให้ทุกคนได้ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ด้วยพลังชีวิตใหม่ เติมเต็มพลังงานหัวใจกันอีกครั้งด้วยหนังสือดีๆ น่าอ่าน ซึ่งจะมาช่วยทำให้การทำงานเต็มไปด้วยความโปรดักทีฟ หรือเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ดังนั้น หนังสือที่เราขอแนะนำล้วนแล้วแต่เป็นเบสท์เซลเลอร์ที่ขึ้นหิ้งเป็นที่รู้จักมานานว่า ช่วยสร้างประสิทธิภาพการทำงานได้จริง และใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพได้ในหลายๆ ครั้ง ดังนั้น ในบทความเราจึงได้รวบรวมหนังสือที่น่าจะเป็นประโยชน์และไฟในการทำงานของคุณให้ประจุเต็ม 100% เริ่มต้นปีใหม่ได้อย่างสดใสต่อไป

 

1.Deep Work: Rules for Focused Success in a Distracted World

โดย Cal Newport

สำหรับหนังสือ Deep Work เป็นหนังสือที่พูดถึงหลักวิทยาศาสตร์ของการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2016 แต่ก็ยังเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง โดยผู้เขียนได้แก่ Calvin C. Newport หรือ Cal Newport โดยเขาเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัย Georgetown University และยังเป็นบล็อกเกอร์ที่เขียนเกี่ยวกับการทำงานให้มีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัลชื่อดังอีกด้วย

หนังสือ Deep work เล่มนี้ของ Cal ระบุว่าการทำงานแบบเต็มที่ โดยต้องให้สัญญา หรือให้คอมมิทเมทกับตัวเองว่า จะต้องเป็นอิสระจากการแทรกแซงจากสิ่งเร้าต่างๆ ให้ได้ โดยเฉพาะการสื่อสารทางดิจิทัล ซึ่งจากคำอ้างของ Cal ระบุว่า Deep work เปรียบเสมือนพนังวิเศษเป็ซุปเปอร์พาวเวอร์ในยุคศตวรรษที่ 21

และนอกจากสิ่งที่หนังสือย้ำเรื่องการที่คุณต้องให้สัญญากับตัวเองในการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว อีกสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญในการทำงานยุคใหม่ ก็คือ “ความเร็ว” และ “คุณภาพ” เป็นสองสำคัญที่จะทำให้คุณก้าวหน้าและเจริญเติบโตในหน้าที่การงานได้ด้วย ดังนั้น คีย์สำคัญของการทำงานแบบ Deep work ก็คือ ต้องตั้งใจอย่างแน่วแน่ แล้วลงมือทำให้เป็นจริงเพื่อไปยังเป้าหมาย

 

2.The 7 Habits of Highly Successful People

โดย Stephen Covey

เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมสูงมาก แม้ว่าจะตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1989 แต่ก็สามารถขายได้แล้วมากกว่า 30 ล้านเล่ม โดยเป็นหนังสือที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคในการทำงานอย่างให้สำเร็จและบรรลุถึงเป้าหมาย

สำหรับ Stephen Covey คือนักการศึกษาชาวอเมริกัน เป็นนักเขียน เป็นนักธุรกิจ และยังเป็นคีย์โน้ตสปีกเกอร์คนสำคัญที่ได้รับเชิญให้ไปพูดในงานต่างๆ มากมาย และเขายังเป็นหนึ่งใน 25 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุด ที่นิตยสาร TIME จัดอันดับไว้เมื่อปี 1996 อีกด้วย

ทั้งนี้ Stephen Covey เชื่อว่า วิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้งานบรรลุไปถึงเป้าหมายได้ หลักก็คือควรมีพฤติกรรม 7 อย่างนี้ ได้แก่

  • Be Proactive ต้องมีแนวคิดในเชิงรุก คือคิดในแบบที่เราจะต้องเป็นผู้กำหนดชีวิตของตัวเราเองได้
  • Begin with the end in mind คือการเริ่มต้นด้วยเป้าหมายในจิตใจ พูดง่ายๆ ก็คือต้องมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน
  • First things first ความหมายตรงๆ เลยก็คือก่อนที่จะไปทำสิ่งนี้ ควรทำสิ่งนี้ก่อนนะ … ซึ่งในภาพรวมของหนังสือจะกล่าวถึงการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ที่ทำในชีวิตนั่นเอง
  • Think Win-Win หมายถึงการเดินตามแผนของชีวิตของเราก็จริง แต่ต้องคิดเผื่อให้คนอื่นได้ประโยชน์ด้วย ไม่ใช่ตัวเราได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว ต้องให้ทุกคนได้สมประสงค์อย่างเท่าเทียม
  • Seek first to understand, then to be understood คือการพยายามเข้าใจคนอื่น เมื่อเราเข้าใจคนอื่นๆ ได้แล้ว ก็ไม่อยากที่จะทำให้คนอื่นนั้นเข้าใจในตัวเรา
  • Synergize ต้องมีพฤติกรรมที่พร้อมประสานงาน ผสานสรรพกำลังต่างๆ ได้
  • Sharpen the saw เหลามุมมองความคิดให้คมอยู่เสมอ หรือหมายถึงการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา

 

3.The One Thing: The Surprisingly Simple Truth Behind Extraordinary Results

โดย Gary W. Keller and Jay Papasan

The One Thing  เป็นหนังสือที่พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2013 ซึ่งติดเป็นเบสท์เซลเลอร์ลิสต์ของสามค่ายดัง ได้แก่ New York Times, The Wall Street Journal และ the U.S.A. Today ทั้งนี้ Gary W. Keller และ Jay Papasan เป็นนักอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จ และเขียนหนังสือผ่านความคิดจากชีวิตและประสบการณ์การทำงานของทั้งสองคน

หนังสือเล่มนี้ บรรยายถึงความสำคัญของการจัดลำดับความสำคัญของงานยากความท้าทายต่างๆ ของงานที่ทำ โดยที่จริงๆ แล้วมันมีเพียงแค่ สิ่งเดียว’ เท่านั้นในชีวิตเราที่สำคัญที่สุด โดยในเซ็กชันแรกจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับ Multitasking หรือการทำหลายสิ่งหลายอย่างได้พร้อมๆ กัน ซึ่งถือเป็นเรื่องดี แต่การเป็นคนทำงานแบบ Multitasking ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง โดยผู้เขียนนิยามว่าเป็นพวก ‘dealistic’ แต่ไม่ใช่พวก ‘realistic’  คือคนทำงานแบบนี้ สามารถ deal หรือจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้ก็จริง แต่เมื่อทำแล้วผลที่ได้กลับไม่เป็นประโยชน์จริงและไม่ได้ประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ดังนั้น เราจำเป็นต้องโฟกัสไปเพียงแค่สิ่งๆ เดียวที่เราต้องทำจะดีกว่า

ส่วนเซ็กชันที่สอง จะเกี่ยวกับการพูดถึงวิธีการที่จะช่วยทำให้เราทำงานได้มากขึ้น โดยเกิดจากการเรียงลำดับหรือวางเกณฑ์ความสำคัญของงานต่างๆ โดยมีเป้าหมายสู่ความสำเร็จ ส่วนเช็กชันที่สาม จะเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ได้จากการจดจ่อมุ่งมั่นสู้เป้าหมายที่สำคัญที่สุดในชีวิต

สำหรับหนังสือเล่มนี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานแล้วต้องบอกว่าสามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้ด้วย นั่นจึงทำให้ถูกจัดเป็นหนึ่งที่ได้รับความนิยมในหลายๆ ปีที่ผ่านมา

 

4.Getting Things Done – The Art of Stress-Free Productivity

โดย David Allen

Getting Things Done เป็นหนังสือที่ดีเกี่ยวกับเรื่องของการจัดการเวลา เหมาะมากสำหรับคนยุคใหม่ที่มีเรื่องยุ่งอยู่ตลอดและไม่สามารถจัดการแบ่งเวลาได้ ดังนั้นจึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะอ่านเพื่อทำให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตีพิมพ์เมื่อปี 2001 เขียนโดย David Allen ซึ่งเป็นทั้งนักเขียนและที่ปรึกษาบริษัทใหญ่ในสหรัฐฯ และยังเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท David Allen Company อีกด้วย

หนังสือเล่มนี้โด่งดังจนสร้างให้เกิดแนวคิดการทำงานที่เรียกว่า GTD ซึ่งย่อมาจาก Getting Things Done หรือวิธีในการจัดการสิ่งต่างๆ ในชีวิตให้สำเร็จได้ด้วยวิธีการง่ายๆ ทั้งนี้ หนึ่งในเนื้อหาที่สำคัญที่ David ระบุในหนังสือก็คือเรื่องของวิธีการลดความเครียด เขาเชื่อว่าถ้าลดความเครียดลงได้จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น โดยให้มองว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคุณนั้นไม่ใช่เรื่องหนัก ไม่ใช่งานหนักหากปรับทัศนคติได้เป็นลำดับแรกก็จะช่วยให้ลดทอนความเครียดได้

ส่วนหลักๆ สิ่งที่เป็นคำแนะนำให้ต้องลงมือทำก็คือ ใช้หลักง่ายๆ คือ รวบรวมสิ่งที่ต้องทำมาทั้งหมดก่อนว่าคุณต้องทำอะไรบ้าง เมื่อรวบรวมได้แล้วก็ตัดสินใจว่าจะทำงานต่างๆ นั้นอย่างไร จัดลำดับความสำคัญก่อนหลังให้ดี โดยการแยกแยะหมวดหมู่งานให้ชัดเจน เมื่อแยกและจัดลำดับแล้วขอให้ทวนอีกรอบว่าขาดอะไรไปหรือไม่หรือพลาดตรงไหน สุดท้ายแล้วก็คือลงมือทำตามแผนนั่นเอง

 

5.Essentialism – The Disciplined Pursuit of Less

โดย Greg McKeown

เป็นหนังสือ Self-help book หรือหนังสือฮาวทูแนวจิตวิทยา อีกเล่มหนึ่งที่ดีมาก Greg McKeown เป็นนักเขียนและนักพูดชาวสหราชอาณาจักร และยังเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วย ทั้งนี้ หนังสือเล่มนี้บรรยายเกี่ยวกับวิธีการค้นหาสิ่งที่จำเป็นแล้วให้ขจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตออกไป

ไฮไลท์อีกเรื่องของเล่มนี้ก็คือ การทำน้อยแต่ได้มาก เป็นวิธีที่ถูกต้อง คุณไม่จำเป็นต้องทำมากในเวลาอันน้อยนิด เพียงแค่คุณต้องแน่ใจในสิ่งที่ทำเพื่อให้ทำน้อยแต่ได้ผลมาก นั่นก็คือต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นที่คุณต้องทำ ดังนั้น ทัศนคติที่ว่า “ฉันสามารถทำได้ทุกสิ่ง” ไม่จำเป็นอีกแล้ว จะต้องเปลี่ยนได้แล้วในการทำงานยุคใหม่นี้  แต่ควรจะคิดใหม่เป็น “ทำในสิ่งที่ใช่ ในวิธีที่ถูก และเวลาที่ถูก” มากกว่า ดังนั้นการเคาะให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญก็จะช่วยทำให้งานสำเร็จได้ตามเป้าหมาย

 

6.Eat That Frog

โดย Brian Tracy

เป็นหนังสืออีกเล่มที่ไม่อยากให้พลาด เพราะนอกจากจะเป็นเบสท์เซลเลอร์ มียอดขายกว่า 1,500,000 เล่มแล้ว ผู้เขียนได้แก่ Brian Tracy ก็ยังเป็นทั้งนักเขียนและนักพูดชื่อดังแห่งยุค ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานและจัดฝึกอบรมการทำงานให้แก่บริษัทมีชื่อเสียงมากมาย อาทิ IBM, Ford, HP และ Xerox เป็นต้น

สำหรับหนังสือเล่มนี้ เปรียบเทียบว่า “กบ” คืองานใหญ่ งานสำคัญ ซึ่งคำแนะนำของหนังสือเล่มนี้ก็คือ ให้กิน “กบที่น่าเกลียดที่สุด” ก่อนเป็นตัวแรก ซึ่งหมายถึงงานที่ยากที่สุด งานที่เราไม่อยากทำที่สุดก่อน เผื่อแก้นิสัยการผัดวัดประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ และเมื่อเราเลือกงานที่ยากที่สุดแล้วทำให้มันเสร็จแล้ว การกินกบตัวต่อไปจึงไม่ใช่เรื่องง่าย นี่คือใจความสำคัญที่หนังสือแนะนำ

 

7.Atomic Habits

โดย James Clear

James Clear คือนักเขียนชื่อดังและยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนนิสัยด้านทัศนคติในการทำงานซึ่งเดินทางไปให้ความรู้แก่บริษัทชั้นนำต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ หนังสือเล่มนี้ยังติดชาร์ทหนังสือขายดีในหลายค่าย ทั้ง Wall Street Journal, USA Today และ Publisher’s Weekly และถูกแปลออกมาแล้วมกกว่า 40 ภาษาทั่วโลก

สำหรับเนื้อหาเล่มนี้ เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนิสัย โดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิง ทั้งนี้ หนังสือชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งไม่เฉพาะแค่เรื่องการทำงานเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกๆ เรื่องในชีวิต โดยไฮไลท์สำคัญ คือแนวคิดของการที่การทำทุกอย่างให้ดีขึ้น เพียงแค่วันละ 1% เท่านั้นก็พอ ไม่จำเป็นต้องดีแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ แค่ทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมวันละนิดเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าจะเป็นหลักการง่ายๆ แต่ก็ได้ผลและได้ประสิทธิภาพมากทีเดียว

 

Source

Medium.com

Enjoytimely.com

 


  • 563
  •  
  •  
  •  
  •  
pigabyte
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น มาเรียนรู้และสนุกไปกับบทความ จาก MarketingOops! กันนะคะ แล้วเราจะได้ค้นพบว่าโลกของ Marketing นั้น So Sexy and Cool!