ทำงานหลาย มักเงินหลาก…ทำงานพลาด มักเงินไหล!
ชีวิตของมนุษย์ชนชั้นกลางอย่างพวกเรา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานเป็นเสมือนเครื่องช่วยหายใจส่วนตัวอย่างหนึ่ง อาจไม่คล่องจมูก ลำบากโพรง และติดขัดบ้าง…แต่ก็ช่วยทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้บนโลกกลมๆใบนี้ เราจึงให้ความสำคัญกับการเลือกเครื่องช่วยหายใจ พอๆกับการเลือกงานที่จะทำนั่นเอง
จะงานเก่า งานใหม่ หรืองานไหนๆ หากมันไม่เหมาะสมและดีพอสำหรับเรา ก็คงไม่มีใครอยากจะฝืนทนทำงานนั้นต่อไป…ประหนึ่งราวกับเครื่องช่วยหัวใจที่ใช้งานได้ แต่ใช้แล้วรู้สึกอัดอัด กลืนไม่เข้าพูดไม่ออก นี่คือ 3 ประหนึ่งที่คุณควรลาออกจากงานใหม่ หากมันคลับคล้ายคลับคลาว่ามีทิศทางที่จะเฉไฉไปแนวทางนั้นๆ!
ประหนึ่ง…ขาดคน ‘พักดู’
ว่ากันว่า, ในการทำงานที่ดี หากจะประสบผลสำเร็จได้อย่างแท้จริง เราจำต้องมีบุคคลที่เปรียบเสมือนกับพี่เลี้ยงของเราเอง คอยสอน คอยแนะนำ และส่งเสริมผลักดันให้เราไปถึงเป้าหมายที่ดี เมื่อไหร่ที่งานของเรา ขาดคนคอย ‘พักดู’ เราควรจะเริ่มพิจารณาถึงการมองหาที่ใหม่ เพราะการทำงานที่ดีต้องมีแรงผลักดันจากคนรอบข้าง หรือเพื่อนร่วมงานเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้กับเรา การมีคนคอยช่วยแนะนำสั่งสอนนั้น จะทำให้เราพัฒนาศักยภาพในการทำงานที่ดีขึ้น งานที่มองหาใหม่อาจไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนในสิ่งที่เราชอบทำ แค่มองหาแรงผลักดันและสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนเราได้ก็พอ แต่หากใครพอใจกับสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ และมีเพื่อนร่วมงานที่ดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรีบมองหาที่ใหม่ก็ได้ครับ เพราะสุดท้ายแล้ว…การทำงานที่มีประสิทธิภาพ ส่วนหนึ่งมาจากคนรอบข้างและเพื่อนร่วมงาน นั่นเอง
ประหนึ่ง…ว่า ‘หักโหม’ เสียเหลือเกิน
หากที่ทำงานใหม่ของเรา ช่างถาโถมประโคมทำงานหนักหน่วงเสียเหลือเกิน จนทำให้คุณภาพทางชีวิตและจิตใจของเราต้องต่ำลง ขอให้ลองพิจารณาถึงการมองหาอะไรที่ดีกว่านี้ครับ เข้าใจว่าการทำงานทุกชิ้นบนโลกใบนี้…ไร้ซึ่งคำว่า ‘สบาย’ แต่เราไม่สามารถเอาเงินเดือนที่เราทำงานอย่างหักโหมนั้นมาซื้อความสุขทางสภาพจิตใจที่ดีได้อย่างแท้จริง หากเรารู้สึกเครียด หดหู่ และวันๆไม่สามารถนึกถึงอะไรได้นอกจากเรื่องงานแล้วล่ะก็ นี่คือประหนึ่งสัญญาณว่างานที่เราทำกำลังจะกัดกินตัวเราอย่างช้าๆครับ
ประหนึ่ง…ดั่ง ‘วิถีที่เลวร้าย’
หากเรารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดึงให้เข้าไปมีส่วนร่วมกับการทำงานที่ผิดศีลธรรม ปราศจากจรรยาบรรณ ขอให้ตระหนักไว้เลยว่าเราไม่สมควรจะทำงานที่นี่ต่ออีกแล้ว การทำงานที่เอาเปรียบคนอื่น ฉ้อโกง หรือทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน ย่อมส่งผลที่ไม่ดีตามมาเสมอ ทั้งต่อบริษัทและต่อตัวเราเอง เราควรจะมองหางานใหม่ที่เคารพให้เกียรติเรา และมองเห็นคุณค่าของเรามากกว่านี้ จำไว้เสมอครับว่า… ‘วิถี’ ที่เลวร้าย ไม่เคยนำมาซึ่ง ‘เป้าหมาย’ ที่ถูกต้อง
โปรดระวัง! อาการ ‘เขี้ยวลากดิน’
เรามักจะเผลอไผลลืมตัวปล่อยให้ ‘สิ่งอำนวยความสะดวกทางการเงิน’ เข้ามาครอบงำจิตใจ จนอดหลงคิดไม่ได้ว่าการทำงานที่ดีที่สุดคือเรื่องตัวเลขและเงินเดือน จำไว้ครับว่าการทำงานที่ดีไม่ได้อยู่แค่เรื่องเงินทองเท่านั้น หากแต่มีเรื่อง ‘คุณภาพทางใจ’ ของเราเองต่างหาก ต่อให้เงินทองมากมายก่ายกองสักแค่ไหน แต่หากเราไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำเลย หรือรู้สึกอึดอัดใจก็ตามที ต่อให้ช่วงแรกๆจะพอทนได้เพราะได้เงินดี แต่เชื่อเถอะครับว่า…หากเราซ่อนความทุกข์ใจเอาไว้ ไม่วันใดวันหนึ่งก็ปรากฏให้เห็นจนได้ แล้วเราจะรอให้มันถึงเวลานั้นทำไม อีกหน่อยเวลาไปไหนมาไหน คนอื่นอาจจะได้ยินเสียง “แกร่ก-แกร่ก” เป็นเสียงเขี้ยวลากดินของเรามาแต่ไกลเลยก็ได้นะครับ จำไว้เสมอว่า…หากได้ทำในสิ่งที่รักและมีความสุข เงินเดือนทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่ ‘โบนัส’
ลองช้าดูเสียบ้าง แล้วเราจะเห็นโลกได้ละเอียดขึ้น…อย่าหยุดความพยายามครับ