ว่ากันว่า, งานที่เราทำ คือ สิ่งที่บ่งบอกถึงไลฟ์สไตล์ของเรา
การทำงานเป็นเหมือนตัวขับเคลื่อนสีสันให้กับชีวิต หากใครมีความสุขกับงานที่ทำ ความสุขนั้นก็จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน ไม่ว่างานนั้นจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ใครหลายคนมองเห็น ‘เป้าหมาย’ ของตัวเองที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในทางกลับกันคนหลายคนก็ไม่มีความสุขกับงานที่ทำเอาเสียเลย บ้างก็โทษเพื่อนร่วมงาน บ้างก็โทษสถานที่ทำงาน บ้างก็โทษตัวงาน และบ้างก็โทษหัวหน้า…จึงทำให้ใครหลายคนขยันเปลี่ยนงานกันเป็นว่าเล่น เหมือนเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็กทารกยังไงยังงั้น แต่น้อยคนนักที่จะหันกลับมาชำเลืองมองตัวเอง แล้วคิดว่าอันที่จริงแล้ว…จะสุขหรือไม่สุข ก็ล้วนแต่อยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น, เราจึงอยากแนะนำ 12 สิ่งที่คุณควรทำในสัปดาห์แรกของการเริ่มงานใหม่ ในเมื่อสุขที่งานได้…เราก็สุขที่ตัวเองได้เช่นกัน
1. เรื่องดีๆทุกเรื่อง…เริ่มต้นที่คำทักทาย
“สวัสดีครับ/ค่ะ” คำสี่พยางค์สั้นๆนี้ ยังคงใช้ได้ดีอยู่เสมอในทุกยุคทุกสมัย เริ่มต้นสิ่งดีๆด้วยการกล่าวทักทายเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าจะในลิฟท์ ในห้องน้ำ หรือหน้าตู้เย็น บางครั้งไม่ต้องรอให้เขาทักเราก่อนก็ได้ เดินตรงเข้าไปหาเพียงเพื่อจะกล่าวประโยคสวัสดีสั้นๆพร้อมรอยยิ้มก็ไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด อย่าลืมว่าคนเหล่านี้คือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เราได้เงินเดือนและเผลอๆอาจพ่วงโบนัสมาอีกด้วย แค่ช่วงเวลาสั้นๆที่เราเสียไปไม่ถึงนาที…อาจทำให้วันนั้นของใครหลายคนสดใสตลอดทั้งวันเลยก็ได้
2. ‘สร้างงาน’ ไม่ใช่ ‘สร้างภาพ’
เชื่อว่าหลายคนต้องเคยผ่านขั้นตอนนี้มากันแล้วทั้งนั้นในวันสัมภาษณ์งาน “ผมทำได้ครับ” “หนูทำได้ค่ะ” “ไม่มีปัญหาครับ” และวลีเด็ดเสร็จทุกราย “สบายมากครับพี่!” การสร้างภาพถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งในช่วงแรกๆ ทั้งกับตัวเราและบริษัท แต่ถ้าเราซ่อนความไม่จริงใจเอาไว้ในใจ…ไม่วันใดวันหนึ่งก็ปรากฏให้เห็นจนได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยขายเอาไว้ในวันสัมภาษณ์ ก็ทำให้มันเป็นจริงเถอะครับ เมื่อบริษัทเขาให้เกียรติเราด้วยการเชื่อมันจึงรับเข้าทำงาน เราก็ควรจะให้เกียรติเขากลับด้วยการแสดงศักยภาพและความตั้งใจออกมาให้เห็น เชื่อเถอะครับว่าหากเราทำอย่างเต็มที่แล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็อย่าได้ท้อไป เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก เพราะนั่นหมายถึงว่า…เราได้ก้าวเข้าไปใกล้ความสำเร็จอีกก้าวนึงแล้ว
3. มิตรภาพมีได้ทุกรุ่น
พยายามผูกมิตรทำความรู้จักกับคนที่ทำงานอยู่มาก่อนเรา ไม่ว่าเขาจะมีอายุน้อยกว่าเราไปหลายหลัก หรือมีอายุมากกว่าเราไปหลายโข เพราะคนเหล่านี้แหละจะช่วยสอนแนะนำเราได้ดีในยามที่เราลำบากหรือต้องเจอกับปัญหาต่างๆนานาในที่ทำงาน ไม่ว่าเราจะเก่งกาจมาจากไหนก็ตาม แต่…มังกรพลัดถิ่น หรือจะสู้ งูดินเจ้าที่
4. เชื่อมั่นในกองทัพของเรา
รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง หากเราเชื่อมั่นในทัพของเรา ความไว้ใจและความเชื่อมั่นที่มีต่อหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และสถานที่ทำงานของเราเอง จะส่งผลให้เราทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และก้าวไปพร้อมๆกับทีมได้อย่างมุ่งมั่น ความไว้วางใจทำให้ใครหลายคนประสบผลสำเร็จมาแล้วนับไม่ถ้วน ยกตัวอย่างง่ายๆ แม้ตะวันยังรักมั่นฟากฟ้า ไม่เคยหนีจากกันไปไหน…แล้วนับภาษาอะไรกับเราล่ะครับ
5. โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า
ทุกความขุ่นเคืองและความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน พยายามหลีกเลี่ยงซะ! ขอให้เราทำใจให้เย็น และผ่อนคลายเข้าไว้ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบ่งบอกถึงศักยภาพอันต่ำของเราได้ดีทีเดียว เอาเวลาโกรธเคืองไปมองหาโอกาสและช่องทางที่จะทำให้เราพัฒนาความสามารถและทักษะจะดีเสียกว่า เชื่อเถอะครับว่า การให้อภัยไม่อาจเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่การให้อภัยนั้น…อาจเปลี่ยนอนาคตให้ดีกว่าเดิมได้
6. เข้าเมืองตาหลิ่ว…ต้องหลิ่วตาตาม
ถือเป็นอีกเรื่องสำคัญในการที่จะหัดสังเกตวัฒนธรรมและกติกาของที่ทำงาน เริ่มต้นง่ายๆด้วยการศึกษาดูพฤติกรรมการใช้แก้วน้ำดื่ม หรือเครื่องทำน้ำร้อนในออฟฟิศ ไอครั้นจะให้ทุกคนแปะชื่อไว้ที่แก้วน้ำเพื่อบอกว่าแก้วนี้เป็นของใคร ก็ดูจะกระไรอยู่ แค่การใช้แก้วน้ำผิดใบ ก็อาจทำให้ใครบางคนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้เลยทีเดียว เครื่องทำน้ำร้อนก็อีกเช่นกัน เสียบผิดเสียบถูก ลืมเติมน้ำบ้าง ลืมดึงปลั๊กออกบ้าง ก็อาจจุกจิกกวนใจบรรยากาศการทำงานของใครหลายคนได้เช่นกัน หัดสังเกตและใช้สายตาสอดส่องให้มากขึ้น หากไม่รู้จริงๆ หรือง่วงเหงาหาวนอนทุกวันจนไม่อาจสังเกตเห็นอะไรเลย ก็ถามเขาเอาก็ได้ครับ ไม่รู้น่ะไม่ผิดหรอก…แต่ไม่รู้แล้วยังไม่รู้อีกเนี่ยสิ มันน่ายิ่งนัก!
7. ‘เงินเดือน’ ไม่ใช่ ‘เงินต้นเดือน’
บางคนหลงระเริงจนได้ใจกับเงินเดือนเดือนแรกในที่ทำงานใหม่ จึงเผลอไผลใช้จ่ายอย่างสนุกสุดเหวี่ยง ยึดไลฟ์สไตล์แบบไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อยอย่างพี่ตูน…ก็ไม่ไหวนะครับ รู้จักเก็บหอมรอมริบไว้หน่อย มิเช่นนั้น, เดือนนึงมี 4 ศุกร์ ก็ทุกข์ 4 ระทมกันไป เก็บเงินไว้บ้างก็ไม่ได้ขึ้นรา…เจ็บป่วยอะไรขึ้นมาที ยอดไลค์ก็ช่วยไม่ได้ ต้องใช้เงินอยู่ดี
8. เรียนรู้จากความผิดพลาด
ทำไมคนเราถึงล้ม? ก็เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้การลุกขึ้นมาใหม่ เรียนรู้บทเรียนจากความผิดพลาดที่เราได้พลาดไป จะช่วยให้เรามีแรงผลักดันในการทำงานชิ้นต่อๆไปให้รอบคอบยิ่งขึ้น มิหนำซ้ำหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานก็จะมองเห็นถึงศักยภาพและความตั้งใจของเราได้ดีอีกด้วย คุณค่าของ ‘ประสบการณ์’ ไม่ได้สอนให้เรารู้ว่า ‘ควรทำ’ อะไร…แต่อยู่ที่การเตือนสติว่าเรา ‘ไม่ควรทำอะไร’ ต่างหาก
9. ‘เสนอหน้า’ ไม่เหมือน ‘สะเหล่อน่า!’
โผล่หน้าโชว์ตัวในทุกการประชุม และจงอย่าอายที่จะแสดงความคิดเห็น นอกเหนือจากจะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเป็นคนสำคัญแล้ว ยังทำให้คนอื่นๆเริ่มเห็นความสำคัญของเรามากขึ้นอีกด้วย หมั่นเรียนรู้การมีส่วนร่วมบ่อยๆ แล้วสักวันหนึ่งพวกเขาก็จะรู้ว่าใครที่เหมาะสมจะก้าวขึ้นมายืนตำแหน่งสำคัญๆในอนาคต
10. ชุมชนโซเชียล
มีปฏิสัมพันธ์และเชื่อมต่อกับสังคมโซเชียลของออฟฟิศ จะช่วยให้เราเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทมากขึ้น บริษัทเราตั้งกรุ๊ปอะไรก็เข้าไป Join กับเขาด้วย แอด Facebook ของเพื่อนร่วมงานให้ครบ เวลามีข่าวคราวความเคลื่อนไหวอะไรในที่ทำงานเกิดขึ้น เราจะได้ไม่เป็นคนที่ถูกลืม และถ้าเป็นไปได้อย่าลืมตามหาเพื่อนๆในที่ทำงานของคุณจาก Twitter และ LinkedIn ด้วย มีครบดีกว่าขาดเสมอ หากเวลาอยากจะโพสอะไรที่เกี่ยวกับที่ทำงานในทางไม่ดี ไม่ว่าจะบ่นพึมพำ ปรับทุกข์ คุยเฟื่อง รักคุด หงุดหงิด รถติด ตื่นสาย…ก็ขอให้ใช้ความระมัดระวังกันให้มากขึ้นด้วย ไม่อย่างนั้นก็ตั้งค่าเป็นส่วนตัวไว้ด้วยนะครับ
11. คนอย่าลืมตัว…วัวอย่าลืมตีน
อย่าทิ้งมิตรภาพจากที่ทำงานเก่า ติดต่อพูดคุย หรือกลับไปเจอนัดสังสรรค์กันบ้าง พึงระลึกไว้เสมอว่าที่ทำงานเก่าก็คือสถานที่ฝึกวิชาแรกๆของเรา หากไม่มีที่ทำงานเก่า เราก็อาจไม่มีวันนี้เหมือนกัน อย่างน้อยๆหากเราบ่นอะไรเกี่ยวกับที่ทำงานใหม่ในโลกโซเชียลไม่ได้ ก็กลับไปเล่า ไปปรึกษาให้ที่ทำงานเก่าฟังก็ได้ ยังไงซะมิตรภาพก็ไม่มีวันสูญสลาย
12. รู้ทางหนีทีไล่
เรียนรู้สิ่งต่างๆที่อยู่ในละแวกรอบๆออฟฟิศของเรา ไม่ว่าจะเป็นร้านขายชาเย็นที่ถูกและอร่อย ร้านข้าวแกงปักษ์ใต้ที่คนทำงานที่นี่ต้องกินให้ได้ หรือห้องน้ำชั้นไหนที่ฝารองชักโครกสะอาดที่สุด ในเมื่อเวลาทั้งวันของเราต้องอยู่กับตึกคอนกรีตแห่งนี้ถึง 5 วันติดด้วยกัน ก็หาช่องทางไว้ให้เราผ่อนคลายพักสายตากันด้วยครับ ยังไม่ทันผ่านโปรเลย…เดี๋ยวจะซังกะตายกันเสียก่อน
เคล็ดลับความสำเร็จของแต่ละคน ลอกเลียนแบบไม่ได้…เราต้องตัดรองเท้าให้เหมาะกับเท้าของเราเอง อย่าเพิ่งหมดหวังกันไปครับ.