ถอดโมเดล ทำไม ‘เยอรมนี’ มียอดเสียชีวิตจาก COVID-19 ต่ำสุด เทียบกับ Top 5 ที่ติดเชื้อมากสุดในโลก!

  • 267
  •  
  •  
  •  
  •  

หายนะ COVID-19 ยังตามหลอกหลอนในหลายๆ ประเทศไม่เว้นแต่ละวัน แต่ในวันนี้ (19 เม.ย.) นับว่าเป็นข่าวดีอีกหนึ่งข่าว ‘เยอรมนี’ ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา, สเปน, อิตาลี กลายเป็นประเทศที่มีตัวเลขผู้ป่วยที่หายจาก COVID-19 สูงกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยข้อมูลของ Worldometers ระบุว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเยอรมนีมีเพียง 758 คนทั้งสัปดาห์ (ณ วันที่ 17 เม.ย.) ขณะที่ตัวเลขผู้ป่วยที่รักษาหายขาดทั้งหมด อยู่ที่ 77,147 คน (ณ วันที่ 19 เม.ย.63) สูงที่สุดเทียบกับประเทศอื่นใน Top 5

อีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่น่าสนใจก็คือ เยอรมนี เป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ‘ต่ำที่สุด’ เพียง 4,477 คน (ณ วันที่ 19 เม.ย.) เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในยุโรป และประเทศที่ติดโผ Top 5 ที่ยอดเสียชีวิตมากกว่า 20,000 คนขณะนี้

 

ทำไม เยอรมนียอดเสียชีวิต COVID-19 ต่ำสุด?

เยอรมนี ถือว่ามีอัตราการการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ ทั้งๆ ที่มียอดผู้ติดเชื้อไวรัสเกินกว่า 100,000 คน เหมือนๆ กับประเทศอื่นที่อยู่ในลิสต์ Top 5 (ยกเว้นสหรัฐอเมริกา ที่ยอดติดเชื้อมากกว่า 7 แสนคน)

หากลองมาเปรียบเทียบกับ อิตาลี และ สเปน พบว่า เยอรมนี มีอัตราการตายเพียง 1% เท่านั้น ในขณะที่อัตราการตายในอิตาลีและสเปนเฉลี่ยราวๆ 11-12%

ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า ชาวเยอรมัน ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนวัยหนุ่มสาว เทียบกับประเทศอื่นในยุโรปที่เป็นกลุ่มคนสูงอายุส่วนใหญ่

เพียง 20% ของผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในเยอรมนีอายุมากกว่า 60 ปี เทียบกับสเปน มีสัดส่วนมากถึง 50% และ อิตาลีมากกว่า 50% เช่นกัน

 

 

ระบบการแพทย์ที่พร้อมมากของ เยอรมนี

อีกหนึ่งคำอธิบายที่ชี้ว่า ทำไมเยอรมนีถึงมียอดเสียชีวิตต่ำ และยอดผู้ป่วยที่รักษาหายกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะว่า รัฐบาลค่อนข้างให้ความสำคัญกับ วิธีการตรวจเชื้อไวรัส COVID-19’ โดยจะใช้วิธีการตรวจการติดเชื้อทันทีในทุกรายที่ต้องสงสัย เทียบกับอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่ใช้วิธีการ กักตัวเฝ้าดูอาการ ให้ครบตามกำหนดก่อนที่จะเข้ารับการรักษา

เยอรมนีมีโปรแกรมการตรวจหาเชื้อที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว อีกทั้งได้รับความช่วยเหลือจากทุกโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ทั่วประเทศ แตกต่างจากบางประเทศในยุโรป เช่น สหราชอาณาจักร และในสหรัฐฯ ที่จะใช้ระบบการทดสอบจากแหล่งข้อมูลเดียวของภาครัฐ ซึ่งจะช้ากว่ามากในการตรวจการติดเชื้อในจำนวนคนเยอะๆ

โปรแกรมการตรวจ COVID-19 ของเยอรมนี สามารถทดสอบได้มากถึง 500,000 ต่อสัปดาห์ ขณะที่สหราชอาณาจักร ได้วันละ 10,000 คนเท่านั้น

นอกจากนี้ โปรแกรมการตรวจฯ ยังสามารถคัดแยกผู้ป่วยระยะต่างๆ ได้อีกด้วย (ระยะเบื้องต้น, ระยะกลาง, ระยะวิกฤต) ดังนั้น โรงพยาบาลแต่ละแห่งทั่วประเทศจะมีหน้าที่รักษาอาการในระยะต่างๆ ตามที่มอบหมาย หรือแม้แต่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่(อาจ)ติดเชื้อ ก็จะเริ่มกระบวนการรักษาทันที โดยจะไม่ใช่วิธีการกักตัว

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้วิธีการตรวจสอบผู้ติดเชื้อจากหลายๆ แห่ง กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในหลายประเทศ เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อนั้นยังรุนแรง

ทั้งนี้ รัฐบาลเยอรมันมุ่งที่การพัฒนาระบบสาธารณสุข และเทคโนโลยีทางการแพทย์มากกว่า 20 ปี และเมื่อเทียบกับประเทศในยุโรป พูดได้ว่า ระบบสาธารณสุขของเยอรมนีนั้นดีเพียงพอ มีโรงพยาบาล และอุปกรณ์การแพทย์ที่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น จำนวนโรงพยาบาล, จำนวนเตียง, จำนวนห้อง ICU, จำนวนเครื่องช่วยหายใจ, จำนวนอุปกรณ์การแพทย์ และจำนวนแพทย์ที่มากกว่า

ตัวอย่างเช่น จำนวนเตียงผู้ป่วยเฉียบพลันในเยอรมนี มีสัดส่วน 621 เตียงต่อ 100,000 คน เทียบกับ อิตาลี 275 เตียง และ 228 เตียงต่อ 100,000 ของสหราชอาณาจักร

 

number 1 ส่งออกยารักษาโรครายใหญ่ของโลก

ด้วยงบประมาณ R&D สำหรับการวิจัยและค้นคว้าด้านการแพทย์ ทำให้เยอรมนีกลายเป็นผู้ส่งออก ‘ยารักษาโรค’ มากที่สุดในโลก โดยในปี 2018 มีข้อมูลจาก World’s Top Exports ระบุว่า เยอรมนี เป็นประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกยารักษาโรคสูงที่สุดในโลก โดย market share อยู่ที่ 16.8% ส่วนอันดับ 2 และ 3 ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ และ เบลเยียม

ทั้งนี้  Karl Lauterbach ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ สาธารณสุข และระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยโคโลญ กล่าวว่า ในแต่ละปีรัฐบาลจะมีงบประมาณสำหรับการวิจัยของยารักษาโรค และเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ เกือบ 20% ของงบประมาณประจำปี และงบประมาณพิเศษด้านการแพทย์โดยเฉพาะ

ดังนั้น ตำแหน่งผู้ส่งออกยารักษาโรคเบอร์ใหญ่สุดของโลกหลายปีติดต่อกัน จึงไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์

โมเดลหรือการบริหารจัดการต่างๆ เหล่านี้ของรัฐบาลเยอรมนี ช่วยพิสูจน์ได้ส่วนหนึ่งว่า การเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ สาธารณสุข หรือ เทคโนโลยีต่างๆ จะทำให้เราสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดต่างๆ ได้ดีและเร็วขึ้นนั่นเอง

 

 

ที่มา : cnbc, worldstopexports, weforum, theconversation


  • 267
  •  
  •  
  •  
  •  
prakai
'ชีวิต' ต้องมีสีสันหลากหลาย เหมือนกับความรู้ที่มีหลายมิติ ทั้งไลฟ์สไตล์, การตลาด, ดิจิทัล, ประเพณี-วัฒนธรรม