“แต่เราก็หากันจนเจอ มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา…”
พอเห็นแอปพลิเคชั่นน้องใหม่ที่เข้ามาเขย่าวงการธุรกิจอย่าง Pickle ที่พัฒนาโดย Rabbit Digital Group จู่ๆ เพลง หากันจนเจอ ก็ผุดขึ้นมาในหัวซะอย่างนั้น!
Pickle คืออะไร?
Pickle คือ แอปฯ สำหรับแบรนด์และ influencer พูดง่ายๆ ก็คือเป็น influencer marketing platform นั่นแหละ เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นคนกลาง หรือ แพลตฟอร์มกลาง หรือพื้นที่ตรงกลางเพื่อให้แบรนด์ และเหล่า influencer ได้พูดคุยกันตกลงกันในเชิงธุรกิจได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยลดขั้นตอนการทำงานไปได้เยอะเลย
Insight ที่ทำให้เกิดแอปฯ Pickle
ก่อนจะบอกว่าแอปฯ นี้มันช่วยลดขั้นตอนให้กับแบรนด์ และ influencer ได้อย่างไร อยากให้เข้าใจ insight ที่มาของการพัฒนาแอปฯ กันก่อนว่า ทำไมยังเกิด pain point ระหว่างกันได้ ทั้งๆ ที่ในยุคนี้เรามีเครื่องมือเกิดขึ้นมากมาย เช่น YouTube, Facebook, Instagram, TikTok ยังมีแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมอื่นๆ อีกมาก
เท่าที่ฟังจากทางฝั่งของ Rabbit X ซึ่งเป็นทีมที่พัฒนาแอปฯ นี้ขึ้นมา โดย คุณเล็ก (รุ่งโรจน์ ตันเจริญ) Head of Rabbit X, Co-founder of Rabbit Digital Group เราอยากสรุปจาก insight ทั้งหมดแบบเร็วๆ ก็คือ
ฝั่งแบรนด์
-
แบรนด์อยากส่งสินค้าให้ influencer แต่ไม่รู้จะติดต่อทางไหน
-
แบรนด์อยากส่งสินค้าให้ influencer แต่ไม่รู้ว่าจะลองใช้จริงๆ หรือไม่
-
อยากชวน influencer มาที่ร้าน แต่ไม่รู้จะชวนอย่างไร
-
มีงบประมาณไม่มาก แต่ค่าใช้จ่าย agency ก็แพงไป
ฝั่ง influencer
-
อยากให้แบรนด์นี้ติดต่อมา แต่ก็ไม่กล้าทักไปก่อน
-
อยากร่วมงานกับแบรนด์นี้ แต่แบรนด์ก็ไม่เคยทักมาสักที
-
ไม่อยากใช้สินค้าตัวนี้ แต่ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร (กรณีแบรนด์เป็นคนส่งของให้เอง)
-
แบรนด์ตีกรอบการทำงานเยอะเกินไป รู้สึกไม่อิสระ (เช่น โจทย์ในการถ่ายภาพ)
Insight เหล่านี้ยังไม่รวมถึงขั้นตอนยุ่งยากระหว่าง 2 ฝั่งด้วยในการ re-check ซึ่งกันและกัน ซึ่งกว่าจะดีลงานกันได้ก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน โดยเฉพาะฝั่งของแบรนด์ที่ต้องเช็คค่อนข้างเยอะ หลายขั้นตอน กว่าจะเลือก influencer ในแต่ละแคมเปญได้ เช่น
-
ยอด followers เป็นแอคเคาท์ผีหรือไม่ (*แอคเคาท์ผี = ซื้อยอดผู้ติดตามแต่ไม่เคย active)
-
ต้องหา influencer ดีๆ มีคุณภาพจากที่ไหน
-
เวลาเขียนบรีฟงานต้องละเอียด หรือยาวมากแค่ไหน
-
ต้องเอาชื่อของ influencer แต่ละคนที่สนใจไปค้นหาดูผลงานทีละคน
-
กว่าจะดีลงานกันได้ inbox แทบระเบิด แชทเด้งทั้งวัน
-
ต้องวิเคราะห์ stat ของ influencer อย่างไร
ดังนั้น Pickle App เรียกได้ว่า เข้ามาได้ถูกจังหวะมากๆ เพราะว่าในสมัยนี้ใครๆ ก็เป็น สตาร์ทอัพได้ เป็น influencer ได้ ใครๆ ก็เป็น creators ได้เพราะแพลตฟอร์มมันเอื้อประโยชน์กับเรามากกว่าเมื่อก่อน
อย่างที่ คุณแม็ค (สุนาถ ธนสารอักษร) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ Rabbit Digital Group ได้พูดว่า ด้วยเหตุผลที่การทำมาร์เก็ตติ้งผ่าน influencer ยังได้รับความนิยม และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น หมายความว่า ในไทยเองจำเป็นที่จะต้องมีแพลตฟอร์ฒที่เอื้อต่อทั้ง 2 ฝ่ายด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจากจะช่วยลด pain point ได้แล้ว ยังทำให้คุณค่าของการทำการตลาดอยู่บนพื้นฐานของ คำว่า Authenticity (ความถูกต้องจริงใจ)
Pickle แพลตฟอร์มแรกที่เลือก Instagram
เกริ่นไปแล้วตั้งแต่เริ่มบทความว่า Pickle จะเข้ามาช่วยลด pain point ของแบรนด์ และ influencer ได้ ซึ่งต้องบอกว่า Pickle เลือกที่จะใช้แพลตฟอร์มให้ลิงก์กับ Instagram ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียที่ influencer ส่วนใหญ่ใช้ (พอๆ กับ Facebook, YouTube) แต่ที่น่าสนใจ คือ Instagram influencer ค่อนข้างโชว์ความเป็นไลฟ์สไตล์มากกว่า โชว์คอนเทนต์อย่าง YouTube หรือ Facebook ผ่าน Instagram Story
ดังนั้น users ในไทยกว่า 16.5 ล้านคนที่เห็น influencer จะเลือกตามเพราะอินกับตัวบุคคลจริงๆ อินกับไลฟ์สไตล์ของเขาจริงๆ ไม่ใช่แค่ความสนุกในการเสพคอนเทนต์ โดย Pickle เปรียบเทียบว่า Instagram คือ #EverydayExperience
เจ้า Pickle ช่วยลด pain point อย่างไร?
กรอบการทำงานของ Pickle ยังยึดมั่นในคำว่า Authenticity เป็นหลัก ขณะที่ต้องเป็นพื้นที่ให้ความสะดวกกับทั้งแบรนด์และ influencer ได้ด้วย โดยเฉพาะ pain point ของธุรกิจระดับ Micro เพราะบางทีการเลือกติดต่อผ่าน agency ก็ใช้เวลานาน และมีค่าใช้จ่ายที่สูง (ขึ้นอยู่กับดีล)
แต่สำหรับ Pickle แอปฯ แมชชิ่งน้องใหม่ที่มีหน้าตาคล้ายๆ กับ dating app เลือกคู่นั่นแหละ โดยจะเป็นการเลือกคู่ระหว่างแบรนด์กับ influencer ซึ่งจะมี Pickle for Brands และ Pickle for Influencer ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ แต่ในอนาคต (ไกลๆ) คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย หลังจากที่มีการแมชชิ่งกันแล้ว (*ถ้าไม่แมชชิ่ง หรือไม่มีการดีลเกิดขึ้นยัง Free)
นอกจากนี้ สำหรับแบรนด์ค่อนข้างสะดวก เพราะ Pickle จะช่วยสรุปข้อมูลที่จำเป็นของ influencer ที่สนใจร่วมงานกับแบรนด์ให้ ผ่านระบบ Influencer Analysis เช่น
-
จำนวนผู้ติดตามทั้งหมด
-
จำนวนผู้ติดตามที่ Active จริง
-
Engagement เฉลี่ยต่อโพสต์
สำหรับ Pickle for Brands มีขั้นตอนการครีเอทแคมเปญแค่ 6 ขั้นตอน
1.รายละเอียดของแคมเปญ
2.เป้าหมายหรือคุณสมบัติของ influencer ที่ต้องการ, ลักษณะ, จำนวน
3.ผลตอบแทน (เงิน หรือ สินค้าของแบรนด์)
4.กลุ่มเป้าหมาย (เพศ, อายุ, โลเคชั่น)
5.กรอบการทำงาน
6.ช่วงระยะเวลาที่ต้องเผยแพร่ผลงาน
ความน่าสนใจของ Pickle อีกอย่างก็คือ การที่ช่วยแบรนด์วิเคราะห์แคมเปญหลังจาก influencer ได้เผยแพร่ผลงานเสร็จแล้ว ซึ่งในฟีเจอร์ Campaign Analysis จะแสดงผลลัพธ์หลายอย่าง เช่น Total reach (story view, post view), Return on Investment (ROI) หรือ การวัดผลตอบแทนจากการลงทุน และ สรุปงบที่ใช้จ่ายไปทั้งหมด เป็นต้น
ทั้งนี้ คุณแม็ค ผู้บริหารคนใหม่ เปิดเผยด้วยว่า ตอนนี้มีแบรนด์ที่เข้าร่วมกับแพลตฟอร์ม Pickle แล้วประมาณ 200 แบรนด์ เช่น FOREO, Q&B, Kouen, เบอร์เกอร์สไตล์โมเดิร์น Beast & Butter ฯลฯ ส่วนจำนวน influencer เข้าร่วมแล้วกว่า 1,000 ราย (หลังจากเปิดตัวแอปฯ มาแล้ว 3 เดือน)
จะว่าไป Pickle ก็คือ พื้นที่หนึ่งที่เปิดกว้างให้แบรนด์และ influencer ได้ลองเปิดใจคุยกันดูว่า เธอต้องการอะไร แล้วฉันต้องการอะไร เรามีจุดร่วมที่ตรงกันมั้ย ก็คล้ายๆ กับช่วงที่กำลังทดลองความสัมพันธ์เรื่องความรักนั่นแหละ ที่ต้องค่อยๆ คุย ค่อยๆ เปิดใจกันตรงๆ แล้วเรียนรู้กันไป จนเดินจับมือเข้าสู่ประตูวิวาห์พร้อมกัน ธุรกิจเองก็ต้องจับมือเดินไปที่เป้าหมายร่วมเหมือนกัน
ข้อมูลโดย Rabbit Digital Group