หากพูดถึงการแข่งขันของอุตสาหกรรม ‘ปั๊มน้ำมัน’ ในบ้านเราการแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘น้ำมัน’ แต่เป็นการสร้างสายป่านให้ยาวครอบคลุม Ecosystem จุดที่ฉายภาพชัดคือ ปั๊มน้ำมันเป็นมากกว่าปั๊มน้ำมันแล้วกลายเป็น Community ที่มีธุรกิจครอบคลุมไม่ว่าจะเรื่องของร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร มีศูนย์บริการเช็ครถจุดชาร์จ EV สินค้าไลฟ์สไตล์ต่างๆ ไปจนถึงจุดพักรถ เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคใช้เวลาอยู่ในพื้นที่ให้ได้นานที่สุด
OR VS PTG มีธุรกิจอะไรในมือบ้าง?
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มีรายได้รวมในปี 2565 จำนวน 793,418 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,370 ล้านบาท มีจำนวนสมาชิกในบัตร PTT Blue Card กว่า 7 ล้านสมาชิก มีแอปพลิเคชั่นคือ Blue CONNECT อีกทั้งยังมีธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจโดย OR ในพอร์ต ดังนี้
-
- สถานีน้ำมัน PTT Station 2,110 สถานี
- สถานีแก๊ส LPG 232 สถานี
- สถานีชาร์จ EV รถยนต์ไฟฟ้า 302 จุดชาร์จ
- ธุรกิจค้าปลีก 7-Eleven และ jiffy รวม 2,104 สาขา
- ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ประกอบด้วย ร้านคาเฟ่ อเมซอน 3,658 สาขา / Pacamara 17 สาขา / Texas 95 สาขา / Pearly Tea 169 สาขา / โอ้กะจู๋ 21 สาขา / Ono Sushi 3 สาขา / Kamu Tea (คามุ) 3 สาขา / Freshket 4,000 รายการ
- ศูนย์บริการยานยนต์ 85 สาขา
- ศูนย์จำหน่ายก๊าซบรรจุถัง 1,000 สาขา
บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG มีรายได้รวมในปี 2565 จำนวน 179,785 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 934 ล้านบาท มีจำนวนสมาชิกในบัตรบัตรสมาชิก พีที แมกซ์ ( PT MAX CARD ) กว่า 19 ล้านสมาชิก มีแอปพลิเคชั่นคือ Max Me อีกทั้งยังมีธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจโดย PTG ในพอร์ต ดังนี้
-
- สถานี PTGenergy 2,149 สถานี
- สถานีแก๊ส LPG 231 สถานี
- สถานีชาร์จ EV รถยนต์ไฟฟ้า 35 จุดชาร์จ
- ธุรกิจค้าปลีก Max Mart 309 สาขา
- ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ประกอบด้วย ร้านคาเฟ่ ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 511 สาขา / ร้านคอฟฟี่ เวิลด์ จำนวน 26 สาขา
- ศูนย์บริการยานยนต์ 45 สาขา
- ศูนย์จำหน่ายก๊าซบรรจุถัง 325 สาขา
2 ยักษ์ใหญ่ OR VS PTG กับเป้าหมายมุ่งเน้น Non-Oil
วันนี้การแข่งขันกันในการทำธุรกิจค้าปลีกที่ไม่ใช่น้ำมัน หรือ Non-oil ดุเดือดขึ้น ทำให้ค่ายน้ำมันต่างมุ่งไปที่การทำธุรกิจ Non-Oil ที่ให้ผลกำไรมากขึ้น รวมไปถึงการมองไปที่พลังงานแห่งอนาคต อย่างรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
OR ประกอบธุรกิจด้วยแนวคิดของ ที่ต้องการเป็น ‘Retailing Beyond Fuel’ ให้กลายเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ไม่ได้มีแต่น้ำมัน โดยมีการวางเป้าหมายธุรกิจในพอร์ตให้มีสัดส่วน 50 :50
ทางด้าน PTG ได้มองเห็นถึงเมกะเทรนด์โลกที่จะไปในทิศทางที่น้ำมันได้ลดบทบาทลง เป้าหมายใน ปี 2568 คือการปรับสัดส่วนธุรกิจในพอร์ตให้เป็นธุรกิจในกลุ่ม Nonoil 70 :30 นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายนำร้านกาแฟพันธุ์ไทยเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2568 อีกด้วย