จำได้มั้ยว่า 26 ปีก่อนหน้านี้ เราฟังเพลงเพลงหนึ่งมีความยาวถึง 4.30 นาที เทียบกับความยาวของเพลง (the lengths of songs) ในยุคนี้ที่ค่อยๆ ลดลงจนเหลือแค่ 3.42 นาทีโดยเฉลี่ย (ในปี 2019) ซึ่งเชื่อหรือไม่ว่า ในปี 2020 เริ่มมีเพลงที่มีความยาวสั้นลงไปอีก ประมาณ 3 นาทีเท่านั้น อย่างเพลง Be Kind – Marshmello & Halsey เป็นต้น
Charlie Harding นักแต่งเพลงชื่อดัง พูดว่า ความยาวของเพลงที่สั้นลง ทำให้ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างว่า พฤติกรรมของคนในยุคใหม่ค่อนข้างเปลี่ยน เราต้องใช้วิธีการเขียนเพลง ทำนอง หรือแม้แต่ดนตรีที่เปิดตัวเพลงที่ดึงดูดอย่างมาก เพราะความตั้งใจฟัง หรือความอดทนที่จะฟังเพลงจนจบมีน้อยลง
ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เราเรียกว่า ‘overture’ หรือโครงสร้างเพลง โดยเฉพาะที่จุดเริ่มต้นเพลง หรือเสียง #อินโทร ที่เมื่อก่อนจะยาวกว่านี้ แต่ในยุคนี้เราต้องทำให้มันสั้นลงกว่าเดิมมาก เพื่อดึงดูดในคนฟังอยากฟังต่อ และแม้แต่ #ท่อนฮุค ก็ตามที่ยังต้องปรับให้กระชับขึ้นด้วยเช่นกัน
ส่วนแนวเพลงอื่นที่ไม่ใช่เพลง Pop, Rock, Blue อย่างเช่น แนวเพลง Hip Hop พบว่าตั้งแต่ปี 2019 ความยาวเพลงลดสั้นลง เหลือแค่ 2.10 นาทีเท่านั้น ตัวอย่างเช่น เพลง Gucci Gang
ความอดทนน้อยลง เพลงเลยต้องสั้นตาม
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ กำลังบอกอะไร? พูดง่ายๆ ก็คือ พฤติกรรมของคนฟังเพลงในยุคใหม่ ชี้ชัดที่สุดก็คือ ความอดทนต่ำลง นักเขียนเพลงไม่สามารถเขียนเพลงให้มีความยาวเท่ากับเมื่อก่อนได้ 4-5 นาที ซึ่งนอกจากเนื้อหาเพลงต้องโดนใจ ความยาวของเพลงต้องถูกใจผู้ฟัง gen ใหม่ด้วย
บทความนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่า ความยาวของเพลงสั้นลงอย่างไร แต่อยากให้ตีความจากนัยยะที่เกิดขึ้น ว่าพฤติกรรมที่ผู้บริโภคมีความอดทนต่ำลงเรื่อยๆ การดีไซน์เพลง หรือแม้แต่แคมเปญการตลาดบางอย่างต้องอาศัยความเข้าใจอย่างมาก เพราะถ้าการตลาดไม่ปัง! ขั้นตอนเยอะ! แคมเปญการตลาดก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จได้
นอกจากนี้ มีมุมมองของ Nate Sloan นักดนตรี และนักวิเคราะห์เกี่ยวกับการตลาดดนตรีของมหาวิทยาลัย Stanford ได้พูดเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ฟัง gen ใหม่ในยุคนี้ว่า เพราะความอดทนต่ำลงจึงทำให้เกิดกระบวนการ personalization marketing หรือ การตลาดที่เฉพาะบุคคลมากๆ แต่รู้หรือไม่ว่า การตลาดแบบนี้ก็มีข้อเสียบางอย่างเหมือนกันต่อธุรกิจ
โดย Sloan อธิบายด้วยการยกตัวอย่าง #วงการเพลง เรามีข้อดีที่ AI หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่คอยช่วยแนะนำเพลงที่ related โดยอัตโนมัติ เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาในการค้นหาแนวเพลงใกล้เคียงที่เราอยากฟัง แต่ข้อเสียก็คือ #ความหลากหลายของเพลงจะหายไป
อธิบายก็คือ การที่ AI คอยแนะนำและ serve เพลงให้เราตามความต้องการก็ดีอยู่ แต่เราอาจจะไม่ได้ฟังแนวเพลงอื่นๆ เลยก็ได้ ซึ่งความหลากหลาย ความรู้สึกแบบ random ตรงนี้จะหายไป ซึ่งในระยะยาวมีโอกาสที่แนวเพลงใหม่ๆ จะเป็นที่รู้จักน้อยลง หรือศิลปินหน้าใหม่จะไม่ได้สร้างฐานคนฟังที่หลากหลาย
เปรียบเทียบกับโปรดักส์ หรือบริการที่อาจจะมีความท้าทายอยู่บ้าง สำหรับการเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ เพราะความหลากหลายและการเปิดใจตรงนี้จะไม่เหมือนเมื่อก่อน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดเคยบอกว่า กลุ่มผู้บริโภคที่เปิดใจลองอะไรใหม่ๆ และไม่ชอบให้ AI เสิร์ฟตามความต้องการอย่างเดียวยังพอมีอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะเป็น gen ใหม่
ดังนั้น การดีไซน์การตลาดเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเราต้องปักหมุดไปที่กลุ่มเป้าหมายชัดเจน ไม่ใช่การทำการตลาดแบบหว่านแห แต่สิ่งที่จะลืมไม่ได้อีกอย่างก็คือ กลุ่มเป้าหมาย gen ใหม่ที่ชอบเปิดใจลองสิ่งใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็มีความ #เบื่อหน่ายง่ายเช่นเดียวกัน ซึ่งนักการตลาดอาจต้องศึกษาตลาดและ target อย่างจริงจังก่อนที่จะดีไซน์มาร์เก็ตติ้ง
โดยคาดกันว่า ในวงการเพลงอีก 2-3 ปีข้างหน้า ความยาวของเพลงก็อาจจะลดลงอีกเหลือแค่ 2 นาที หรือ เกือบ 2 นาทีเท่านั้น ซึ่งธุรกิจเพลงหรือวงการอื่นต้องรับการเปลี่ยนแปลงนี้ให้เร็ว ทำตัวให้เป็นปลาเล็กที่คล่องตัวไม่ใช่ปลาใหญ่ที่อืดอาด