หากพูดถึงการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) ที่นับวันยิ่งเป็นกระแสขององค์กรทั้งโลกมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงประเทศไทยด้วย โดยผลการศึกษาของซิสโก้ (CISCO) ระบุว่า สามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพนักงานในไทยได้จริง รวมถึงสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วย
ประเด็นสำคัญของรายงานนี้ก็คือการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับ “ความพร้อมของพนักงานสำหรับการทำงานแบบไฮบริด” (Employees are ready for hybrid work, are you?) จากพนักงานทั้งหมด 28,000 คนใน 27 ประเทศ และพนักงานในไทยกว่า 1,050 คน สำหรับผลสำรวจในเชิงประสิทธิภาพในการทำงาน พบว่า
- พนักงานในไทย 7 ใน 10 คน (70%) เชื่อว่าคุณภาพการทำงานดีขึ้น
- 71% รู้สึกว่าประสิทธิภาพในการทำงานของตนเองสามารถปรับปรุงได้ดีขึ้น
- 82% รู้สึกว่าตนเองสามารถทำงานจากที่บ้านตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จเท่ากับการทำงานในออฟฟิศ
นอกจากนี้ผลสำรวจของซิสโก้ได้ระบุว่า การทำงานแบบไฮบริดมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของพนักงานใน 5 ด้านหลัก คือ อารมณ์, การเงิน, จิตใจ, ร่างกาย และสังคม โดยสามารถสรุปความน่าสนใจของรายงานฉบับนี้ ดังนี้
- พนักงานคนไทย 85% พบว่ามีคุณภาพชีวิต หรือมีความสุขมากขึ้นเมื่อสามารถทำงานได้จากทุกที่
- 83% รู้สึกว่าการทำงานจากที่บ้านช่วยปรับปรุงสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น
- 87% ระบุว่าคุณภาพชีวิตด้านการเงินของตนเองปรับปรุงดีขึ้น เพราะการทำงานแบบไฮบริดช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในช่วงปีที่ผ่านมา (โดยเฉพาะค่าเดินทางและค่าอาหาร)
- ประมาณ 8 ใน 10 คน (83%) เชื่อว่าตนเองมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นตั้งแต่ทำงานจากที่บ้าน
- 78% ระบุว่าการทำงานแบบไฮบริดส่งผลดีต่อนิสัยการกินของตนเอง
- 84% รู้สึกว่าการทำงานจากที่บ้านช่วยปรับปรุงความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้น
- 64% ของพนักงานไทยรู้สึกว่า ความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ แน่นแฟ้นมากขึ้น
ที่น่าสนใจคือ พนักงานในไทยที่ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่า การทำงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะเดียวกันเกือบ 3 ใน 4 (74%) พวกเขาบอกว่า สามารถประหยัดเวลาได้อย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เมื่อทำงานอยู่ที่บ้านเทียบกับทำงานที่ออฟฟิศ
อย่างไรก็ตาม มีมุมน่าสนใจจากผู้ที่ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับ ‘ความพร้อมของบริษัท’ โดยมีพนักงานในไทยเพียง 37% เท่านั้นที่คิดว่าบริษัทของตนมีความพร้อมอย่างมากสำหรับการทำงานไฮบริดในอนาคต ดังนั้นมีความจำเป็นอย่างมากที่องค์กรต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อประโยชน์ให้แก่คนทุกกลุ่ม รวมทั้งรูปแบบการทำงานไฮบริดที่กลมกลืนขึ้น เพื่อยกระดับความพร้อมและปรับปรุงประสบการณ์ของพนักงานให้ไม่สะดุด เช่น
- พนักงานในไทย 75% เชื่อว่า ปัญหาในการเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเป็นอุปสรรคในการทำงานจากที่บ้าน
- 89% มองว่าโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายมีความสำคัญมากสำหรับประสบการณ์ไร้รอยต่อเพื่อคนทำงานจากที่บ้าน
- 22% มองว่าบริษัทของตนยังต้องการโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่เหมาะสมกว่านี้
อย่างที่ คุณทวีวัฒน์ จันทรเสโน กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย พูดว่า “ช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าปัจจัยสำคัญสำหรับการทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่อีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับผลงานที่ทำออกมา ในโลกวิถีใหม่ของการทำงานแบบไฮบริด ทั้งนายจ้างและลูกจ้างขององค์กรต่างๆ ในไทยได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมในหลายๆ ด้าน เช่น พนักงานมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการดำเนินงานโดยรวมขององค์กร อย่างไรก็ตาม การทำงานแบบไฮบริดเป็นมากกว่าการรองรับการกลับเข้าทำงานในออฟฟิศอย่างปลอดภัย”
“ผู้บริหารจำเป็นต้องบ่มเพาะวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อประโยชน์แก่ทุกคน และให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นหลัก โดยเฉพาะในเรื่องของประสบการณ์, การมีส่วนร่วม และคุณภาพชีวิตของพนักงาน ทั้งยังจะต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยหรือระบบซีเคียวริตี้ให้ทันสมัย เพื่อนำเสนอประสบการณ์การทำงานที่ปลอดภัย ไร้รอยต่อ และครอบคลุมคนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง นอกจากนั้นยังจำเป็นต้องมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมสำหรับการตรวจสอบแง่มุมต่างๆ ของระบบไอที รวมถึงการทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการใช้งานแอปพลิเคชั่น ระบุและแก้ไขปัญหาในแบบเรียลไทม์ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นสำหรับทุกคน โดยอาศัยความสามารถในการตรวจสอบอย่างทั่วถึง (Full-Stack Observability)”
ในรายงานการสำรวจได้ระบุว่า พนักงานในไทย 75% กล่าวว่าในปัจจุบันองค์กรของตนมีความสามารถและโปรโตคอลที่เหมาะสมอยู่แล้ว ขณะที่ 76% คิดว่าพนักงานทุกคนในบริษัทเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานแบบไฮบริด และ 79% คิดว่าผู้บริหารส่วนงานธุรกิจมีความคุ้นเคยเกี่ยวกับความเสี่ยงดังกล่าว
พนักงานส่วนใหญ่ต้องการ Hybrid Work แต่กังวลในพฤติกรรมการบริหารงาน
ผลการสำรวจระบุว่า 69% ของพนักงานในไทยต้องการให้มีรูปแบบการทำงานแบบผสมผสานระหว่างการทำงานที่บ้านและที่ออฟฟิศ พวกเขาเชื่อว่าการทำงานในอนาคตจะเป็นรูปแบบไฮบริด ขณะที่ 21% เชื่อว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้านทั้งหมด และ 9% เชื่อว่าจะเป็นการทำงานในออฟฟิศทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม พนักงานในไทยเกือบ 3 ใน 4 (73%) เชื่อว่าพฤติกรรมการบริหารงานแบบ ‘จู้จี้จุกจิกและคอยจับผิด’ (Micromanaging) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการทำงานจากที่บ้านและการทำงานแบบไฮบริด ทั้งยังมองว่าที่การผู้จัดการ (หรือฝ่ายที่เกี่ยวข้อง) ไม่ไว้ใจว่าพนักงานจะตั้งใจทำงานหรือไม่ถือว่าเป็นปัญหาที่บั่นทอนขวัญกำลังใจในการทำงานของพนักงาน
เหมือนที่ คุณอานุพัม เตรฮาน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบุคลากรและชุมชนของซิสโก้ ประจำภูมิภาค APJC ที่กล่าวว่า “ความไว้ใจกลายเป็นองค์ประกอบหลักสำหรับการทำงานแบบไฮบริดในโลกวิถีใหม่ ควบคู่ไปกับการบริหารงานอย่างยืดหยุ่นและมีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ใต้บังคับบัญชา”
“ผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่ามีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อให้สามารถรองรับการทำงานแบบไฮบริดได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกคน โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่โลกของการทำงานรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับความต้องการของพนักงาน ขณะเดียวกัน ผู้บริหารและองค์กรต่างๆ จะต้องดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรไว้ ด้วยการรับฟังความเห็น สร้างความไว้วางใจ และบริหารงานด้วยความเห็นอกเห็นใจ มีความยืดหยุ่น และความยุติธรรม”
ขณะที่ คุณฮวน ฮวด คู ผู้อำนวยการฝ่ายไซเบอร์ซีเคียวริตี้ของซิสโก้ ประจำภูมิภาคอาเซียน ได้พูดว่า “เทคโนโลยีคือเครื่องมือสำคัญที่จะรองรับการขยายตัวของสถานที่ทำงานแบบไฮบริด โดยจะต้องอยู่บนพื้นฐานของระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร องค์กรต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับเรื่องของการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในทุกด้าน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าไซเบอร์ซีเคียวริตี้คือ องค์ประกอบหลักของสถาปัตยกรรมด้านเทคโนโลยีขององค์กร เพราะทุกวันนี้มีช่องทางการโจมตีเพิ่มมากขึ้น มีผู้ใช้และอุปกรณ์จำนวนมากที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นขององค์กร ดังนั้น องค์กรจึงต้องยกระดับการรักษาความปลอดภัยและการเฝ้าระวัง ควบคู่ไปกับการรองรับการเข้าถึงที่ปลอดภัย และการปกป้องเครือข่ายอย่างครอบคลุม ตั้งแต่อุปกรณ์ปลายทางไปจนถึงระบบคลาวด์”
ข้อมูลโดย Cisco