Meta เปิด 5 เทรนด์โซเชียล 2025 ที่ธุรกิจไทยควรรู้

  • 9
  •  
  •  
  •  
  •  

ในโลกการตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทุกวันนี้ การติดตามเทรนด์สังคมต่างๆ มีความสำคัญอย่างมากสำหรับคนทำธุรกิจ นั่นเป็นเพราะว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด Meta บริษัทเจ้าของแพลทฟอร์มโซเชียลยักษ์ใหญ่ของโลกได้เก็บข้อมูลผู้บริโภคพร้อมกับแชร์ 5 เทรนด์โซเชียลมีเดียที่ธุรกิจไทยควรให้ความสำคัญในปี 2025 นี้เพื่อให้ธุรกิจเชื่อมต่อกับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และยังคงความเป็นผู้นำในตลาดอย่างต่อเนื่องได้

1.Generative AI : เทรนด์การใช้ AI ในแคมเปญโฆษณา

เทรนด์ของ Generative AI เป็นเทรนด์ที่มาแรงมากในช่วงปีที่ผ่านมา มีหลายบริการที่สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิในการทำงาน และช่วยเพิ่มความสามารถในการสร้างเนื้อหา หาไอเดียใหม่ๆได้มากมาย ซึ่ง Meta เองก็พบว่ามีการนำมาสร้างสรรค์งานโฆษณาด้วย Generative AI ด้วยเช่นกัน

จากการสำรวจของ Meta พบว่า ผู้ลงโฆษณามากกว่า 1 ล้านราย” ทั่วโลกใช้ใช้ Gen AI เป็นประจำ ทำให้ในช่วงเดือนสิงหาคม 2524 เพียงเดือนเดียวมีชิ้นงานมากกว่า 15 ล้านชิ้นงาน” ที่โฆษณาด้วยเครื่องมือ AI ของ Meta

นอกจากนี้มีข้อมูลด้วยว่า 30% ของลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ Meta ในเอเชียแปซิฟิกและประเทศไทยได้ใช้เครื่องมือเอไอของ Meta ทำ Background Generation” ให้กับชิ้นงานโฆษณา

นอกจากนี้ ยังพบว่า แคมเปญโฆษณาระดับโลกที่ใช้ฟีเจอร์การสร้างรูปภาพ หรือ Image Generation ของ Meta มี Click-through Rate (CTR) โดยเฉลี่ยสูงขึ้น 11% และ Conversion Rate (CVR) สูงขึ้น 7.6% เมื่อเทียบกับแคมเปญที่ไม่ได้ใช้เครื่องมือเหล่านี้

ด้วยความต้องการเหล่านี้ทำให้Meta เปิดตัว 2 ฟีเจอร์ Generative AI สำหรับวิดีโอออกมาใหม่นั่นก็คือ  “การขยายความละเอียดวิดีโอ” และการ “สร้างภาพแอนิเมชัน” เพื่อให้การสร้างโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น

คำแนะนำจาก Meta

ทั้งนี้ Meta แนะนำว่าธุรกิจในไทยสามารถเริ่มทดสอบหรือใช้เครื่องมือGenerative AI ของ Meta ในแคมเปญโฆษณาได้เลย เพื่อทดสอบดูว่าองค์ประกอบใดที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณาให้ดียิ่งขึ้นได้

2. Business Messaging : การส่งข้อความเชิงธุรกิจ 

เทรนด์ “การสื่อสารกับธุรกิจผ่านข้อความ” เป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุด เพราะคนจำนวนมากติดต่อสื่อสารกับธุรกิจผ่านแชทเหมือนกับที่ใช้ติดต่อกับเพื่อนและครอบครัวมากขึ้น

Meta พบว่าเทรนด์นี้เกิดขึ้นทั่วโลก โดยผู้คนมากกว่า 1,000 ล้านคนพูดคุยกับแบรนด์หรือธุรกิจผ่าน Messenger, Instagram และ WhatsApp ทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะในเอเชียแปซิฟิกที่ “ผู้บริโภคอย่างน้อย 1 ใน 3 แชทกับธุรกิจสัปดาห์ละครั้ง” ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในผู้นำในเทรนด์ โดย 9 ใน 10 ของผู้บริโภคชาวไทยสื่อสารกับธุรกิจผ่านแอปพลิเคชันแชทระหว่างการซื้อสินค้า” และ 75% ของผู้บริโภคพิจารณาว่าการส่งข้อความทางธุรกิจมีผลกระทบอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อ”

รายงานเทรนด์โซเชียลล่าสุดจาก eMarketer สะท้อนให้เห็นถึงข้อมูลที่ว่า “คนมีแนวโน้มที่จะแบ่งปันเนื้อหาบนโซเชียลและคุยกันผ่านการส่งข้อความส่วนตัวมากกว่าการโพสต์แบบสาธารณะ”  การแบ่งปันแบบส่วนตัว (private sharing) บนแพลตฟอร์มของ Meta เติบโตขึ้น 100% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

“กลุ่มคน Gen Z เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงนี้” เนื่องจากพวกเขายังคงหาวิธีเชื่อมต่อกับผู้อื่นในกลุ่มและชุมชนขนาดเล็กๆ Meta จึงเปิดตัวแชทบอทสำหรับการส่งข้อความทางธุรกิจและโซลูชัน AI ที่สามารถพูดคุยกับลูกค้าโดยตรง ตอบคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ให้ความช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกด้านการค้าขายกับกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก

คำแนะนำจาก Meta

ดังนั้น Meta จึงแนะนำให้ธุรกิจไทยสามารถจับมือกับพันธมิตรเพื่อเลือกโซลูชันการส่งข้อความที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้แล้ววันนี้

3. Creator: ครีเอเตอร์

เศรษฐกิจของครีเอเตอร์ในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ โดยเฉพาะบรรดาครีเอเตอร์ที่กลายเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ สร้างโมเดลธุรกิจที่ขยายตัวได้ผ่านการร่วมงานกับแบรนด์ในประเทศและระดับโลก ความสำเร็จนี้เป็นผลจากการที่ครีเอเตอร์นำเสนอตัวตนพวกเขาอย่างจริงใจ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเชื่อใจได้ และยังช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจและการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้กับแบรนด์ต่างๆได้ ด้วยเหตุนี้ งานวิจัยล่าสุดจากบริษัทการธนาคารเพื่อการลงทุน Goldman Sachs จึงคาดการณ์ว่า “มูลค่าของเศรษฐกิจครีเอเตอร์ระดับโลกอาจแตะถึง 480 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027″

การค้นหาครีเอเตอร์ที่เหมาะกับการเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของแคมเปญ จากการสำรวจทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า 53% ของผู้คนมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ามากขึ้นหากสินค้านั้นได้รับการโปรโมทโดยครีเอเตอร์ใน Reels”

นอกจากนี้ งานวิจัยอีกชิ้นจาก Meta ยังพบว่า 70% ของคนไทยพบสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ผ่านโซเชียลมีเดียทุกวัน” โดย 75% ในกลุ่มนั้นเปิดเผยว่าคำแนะนำสินค้าจากครีเอเตอร์เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุด” ในการตัดสินใจซื้อสินค้า 

Meta ได้ประกาศฟีเจอร์ใหม่ที่ทำให้แบรนด์และนักโฆษณาสามารถ “นำคอนเทนต์จากครีเอเตอร์มารวมในคอลเลกชันของโฆษณาบน Reels” และในพื้นที่อื่นๆ ได้ผ่านทางเครื่องมือเอไอ “Advantage+ Catalog” โดยที่บัญชีของแบรนด์ และครีเอเตอร์จะแสดงคู่กันบนโพสต์ นอกจากนี้ ทางบริษัทกำลังทดสอบรูปแบบโฆษณาใหม่คือ “Creator Testimonials” ให้แบรนด์มีทางเลือกเพิ่มขึ้น และสามารถปรับปรุงผลการทำงานของโฆษณาจากแคมเปญที่มีการทำงานร่วมกับครีเอเตอร์ได้อย่างง่ายและสะดวกมากขึ้น

ล่าสุด Meta กำลังรวมเครื่องมือโฆษณาพันธมิตรทั้งหมดไว้หน้าเดียวกันใน Ads Manager ที่เรียกว่า “Partnership Ads Hub” เพื่อให้แบรนด์และนักโฆษณาสามารถนำครีเอเตอร์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การโฆษณาได้สะดวกและง่ายที่สุด  เครื่องมือนี้จะช่วยให้แบรนด์ตั้งค่าโฆษณาที่ทำร่วมกัน และจัดการเนื้อหาของพาร์ทเนอร์ได้ รวมถึงแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

คำแนะนำจาก Meta

ทั้งนี้ Meta มีคำแนะนำว่า ธุรกิจไทยควรหาโอกาสในเป็นพันธมิตรกับครีเอเตอร์อย่างจริงจัง เพื่อเสริมสร้างการเล่าเรื่องแบรนด์ และใช้เครื่องมือช่วยนำครีเอเตอร์มารวมในกลยุทธ์การโฆษณาได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น

4. Video : วิดีโอ

ชัดเจนว่าผู้คนทั่วโลกหันไปดูคอนเทนต์วิดีโอกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดย Insider Intelligence คาดการณ์ว่า “เวลาที่ใช้ในการรับชมโทรทัศน์และคอนเทนต์วิดีโอในปี 2025 จะมีเพิ่มขึ้น 15% ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” ส่วนเวลาที่ใช้ในการดูวิดีโอบน Instagram และ Facebook ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยจากข้อมูลของ Meta เผยว่า 60% ของเวลาที่ใช้บนทั้งสองแพลตฟอร์มถูกใช้ไปกับคอนเทนต์วิดีโอ” เช่น Reels ซึ่งมีผลต่อการซื้อสินค้า โดยงานวิจัยล่าสุดเผยว่า “2 ใน 3ของผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตัดสินใจซื้อสินค้าหลังจากดู Reels” และ 71% ของผู้บริโภคในประเทศไทยติดตามแบรนด์หลังจากได้รับชม Reel” ที่มีความน่าสนใจ

อีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าจับตามองคือ Livestreaming” ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการวิจัยตลาดของบริษัท Decision Lab พบว่า “73% ของผู้คนเคยดูไลฟ์สตรีมเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ” โดย “66% ตัดสินใจซื้อสินค้าที่แสดงในไลฟ์” นั้น และ “81% ดูไลฟ์เพื่อจะซื้อสินค้า” และ “70% ซื้อสินค้าผ่านฟีเจอร์ชอปปิงในไลฟ์” นอกจากนี้ 79% ของผู้บริโภคในประเทศไทย” ดูไลฟ์อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้งและ 70% ของผู้ชมกลับมาซื้อสินค้าเดิมอย่างน้อยหนึ่งครั้ง”

การการเติบโตของเนื้อหาประเภทวิดีโอในทุกรูปแบบที่หลากหลายนี้ Meta จึงได้เปิดตัว “แท็บวิดีโอแบบเต็มหน้าจอใหม่” ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหา และรับชมวิดีโอที่พวกเขาชอบได้ง่ายขึ้นในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น Reels วิดีโอที่ยาวขึ้น หรือไลฟ์ การเปลี่ยนแปลงบน Facebook นี้จะช่วยให้แบรนด์และนักโฆษณายังคงได้รับประโยชน์จากการลงทุนที่ใช้ AI ในการนำส่งโฆษณาและโมเดลการจัดอันดับ ซึ่งช่วยให้สามารถแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องที่สุดให้กับผู้ใช้แพลตฟอร์มแต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น

คำแนะนำจาก Meta

ดังนั้น Meta จึงแนะนำว่าผู้ประกอบธุรกิจไทยควรใช้ประโยชน์จากวิดีโอคอนเทนต์ในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดให้มากขึ้น และใช้ประโยชน์จากระบบการนำส่งโฆษณาที่ทันสมัยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

5. Cross-Border Shopping : การค้าข้ามพรมแดน 

ในปัจจุบัน ผู้คนใช้เทคโนโลยีในการซื้อสินค้าจากทั่วโลกมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายยิ่งกว่าเดิม มีการคาดการณ์ว่าการค้าข้ามพรมแดน (Cross-Border Shopping) จะมีมูลค่า 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2571 โดยการค้าข้ามพรมแดนออนไลน์จะช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจมากกว่าการค้าปลีกในประเทศถึง 2 เท่า

จากงานวิจัยประจำปีในช่วงเทศกาลในเอเชียแปซิฟิกพบว่าอย่างน้อย “50% ของนักช้อปในประเทศไทยเคยซื้อสินค้าข้ามพรมแดนช่วงลดราคาตามเทศกาลต่างๆ” นอกจากนี้ “59% ของผู้ซื้อข้ามพรมแดนทั่วโลกค้นพบสินค้าที่ถูกใจผ่านแพลตฟอร์มของ Meta” และ “นักช้อป 41% กล่าวว่าพวกเขามีส่วนร่วมกับแบรนด์หลังการซื้อสินค้าผ่าน Meta” ด้วย

การซื้อสินค้าข้ามพรมแดนไม่ได้เฟื่องฟูขึ้นจากราคาสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากความต้องการที่จะได้ครอบครองแบรนด์ที่ไม่มีในประเทศของตน และการเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพสูงกว่า โดยงานวิจัยล่าสุดของ Meta เผยว่า “71% ของผู้ซื้อสินค้าข้ามพรมแดนเปิดกว้างต่อการชอปปิงจากแบรนด์ใหม่ๆ” และ “61% ต้องการมีตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น”

ดังนั้น การลงทุนของ Meta ในด้าน AI จึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างการเข้าถึงที่ไร้พรมแดน และเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการจับคู่สินค้าเข้ากับผู้คนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและทรัพยากรที่กว้างขึ้น รวมถึงการสื่อสารกับลูกค้าได้หลากหลายภาษามากยิ่งขึ้น

คำแนะนำจาก Meta

Meta แนะนำว่าผู้ประกอบธุรกิจไทยควรคำนึงถึงการออกแบบประสบการณ์สำหรับลูกค้าให้สามารถซื้อสินค้าข้ามพรมแดนที่ไร้รอยต่อ และเพิ่มเข้ามาในกระบวนการดำเนินงาน โดยแก้ไขข้อติดขัดสำคัญและร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญด้านการขยายตลาดไปในระดับโลก

 


  • 9
  •  
  •  
  •  
  •