ไม่ใช่ครั้งแรกที่แบรนด์ระดับโลกอย่าง “Nike” กล้ากระโดดลงมาทำแคมเปญในขณะที่สถานการณ์ “ดราม่า” กำลังรุนแรง เพราะโฆษณาล่าสุดอย่าง “Don’t Do It” ที่เพิ่งปล่อยออกมา ก็อยูในช่วงที่สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับการประท้วงในหลายพื้นที่ ซึ่งรุนแรงจนมีการประกาศใช้เคอร์ฟิว จากจุดเริ่มต้นเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุในการจับกุมชายผิวสี “จอร์จ ฟลอยด์” จนเขาเสียชีวิตในที่สุด แน่นอนว่าเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจต่อผู้คนเป็นอย่างมาก
สิ่งที่ Nike ลุกขึ้นมาทำโฆษณาเช่นนี้ ก็เหมือนเป็นการยืนยันว่า “แบรนด์ให้ความสำคัญกับคนทุกคน” และผลงานชิ้นนี้จะใช้แค่พื้นหลังสีดำ อักษรสีขาวกับประโยคกระแทกใจ ใส่เพลงประกอบ โดยไม่ได้มีพรีเซนเตอร์หรือใช้ภาพประกอบเรื่องราว ก็อย่าคิดว่าโฆษณา Don’t Do It จะจืดชืด เพราะตรงกันข้าม! โฆษณาดังกล่าวถูกพูดถึงและถูกแชร์ไปอย่างแพร่หลาย และหากจะถามว่าอิมแพ็คแค่ไหน ก็แค่…คู่แข่งขันในสนามเดียวกันอย่าง “Adidas” ยัง รีทวิต คิดดู!!!
Together is how we move forward.
Together is how we make change. https://t.co/U1nmvMhxB2— adidas (at 🏡) (@adidas) May 30, 2020
แต่ก็อย่างที่บอกไปแล้ว นี่ไม่ใช่โฆษณาชิ้นแรกที่ Nike ออกมาแสดงบทบาทต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางสังคม โดยเฉพาะประเด็น “สีผิว” เพราะก่อนหน้านี้ แบรนด์ก็เคยสร้างแคมเปญลักษณะดังกล่าว โดยอิงกับเหตุการณ์ครบรอบ 30 ปี กับ “Just Do It” สโลแกนประจำแบรนด์ ด้วยการเลือก “Colin Kaepernick” อดีตนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ซึ่งมีประเด็นถูกต่อต้านจากชาวอเมริกันบางกลุ่ม มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ ซึ่งเรื่องราวตอนนั้น เกิดจากการที่เขาต้องการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินคดีๆ หนึ่ง ที่ผู้คนมองว่าไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่คนผิวสี จนเขาได้แสดงออกด้วยการคุกเข่าลงในช่วงเคารพเพลงชาติสหรัฐก่อนเริ่มการแข่งขันจากปกติที่จะต้องยืนตรง กระทั่งกลายเป็นกระแสให้นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลคนอื่น ๆ ทำตาม และถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง แม้แต่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ยังออกมาต่อว่าเขาว่าเป็นพวกชังชาติ
แม้ว่าจะมีกระแสโจมตี Colin Kaepernick จากคนจำนวนหนึ่ง แต่แบรนด์ Nike ก็ยังแสดงจุดยืนชัดเจนที่จะเลือกเขาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็แบ่งแยกความนิยมในแบรนด์อย่างชัดเจน เพราะมีทั้งคนที่สนับสนุนและคัดค้าน ว่ากันว่า…สถานการณ์ตอนนั้นขยายวงกว้างและส่งผลกระทบถึงหุ้นของแบรนด์เลยทีเดียว ยังไม่นับกระแสบนโลกโซเชียลที่มีแฮชแท็ก #NikeBoycott และมีการเผา ทำลายสินค้า Nike ที่มีอยู่ในบ้านอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แบรนด์ Nike ก็ยังคงยืนหยัดและแข็งแกร่งกับการแสดงจุดยืน “ต่อต้านการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อคนผิวสี” จนถึงผลงานโฆษณาชิ้นล่าสุด