จนถึงตอนนี้ เชื่อว่าไม่มีใครมองประเด็นโลกร้อน หรือ Global Warming เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว เพราะผลกระทบที่สร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างได้สร้างความเดือดร้อนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างผิดธรรมชาติ หรือภาวะที่เรียกว่า Climate Emergency ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อมวลมนุษย์ ทำให้เราต้องเผชิญกับฤดูกาลที่ผิดเพี้ยน ภาคการเกษตรและสัตว์น้อยใหญ่ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย รวมถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่กลับมาเป็นมลภาวะอันเลวร้ายของผู้คน แต่คุณรู้หรือไม่ว่ามีวิธีมากมายในการเปลี่ยนวิกฤตนี้ให้ดีขึ้น แถมยังเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ทุกคนโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการอะไรให้ยุ่งยาก
เริ่มจาก ‘ปรับ – เปลี่ยน’ พฤติกรรมตัวเอง ก็ช่วยลดโลกร้อนได้
สิ่งที่เราควรเริ่มต้นเปลี่ยนตั้งแต่วันนี้ เพื่อไม่ทำให้วิกฤตแย่ไปกว่าเดิมก็คือ การใช้ชีวิตประจำวัน เพราะการปรับเปลี่ยนบางเรื่องเพียงเล็กน้อยก็สามารถบรรเทาปัญหาโลกร้อนได้แล้ว ยกตัวอย่าง การปรับอุณหภูมิแอร์ให้เหมาะสม, การสั่งและกินอาหารให้หมดไม่เหลือทิ้งจนกลายเป็น Food Waste, เลือกเดินทางด้วยระบบสาธารณะแทนการใช้รถส่วนตัว เป็นต้น
ในแคมเปญ #ลดโลกร้อนเริ่มที่เรา จาก SCG มีการเปิดเผยสถิติที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการปรับหรือเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อช่วยเหลือโลก เอาไว้ว่า…
ไม่กินเหลือทิ้ง: การสั่งอาหารแต่พอดีและไม่กินเหลือทิ้ง ช่วยลดจำนวน food waste ที่จะกลายเป็นก๊าซมีเทนได้ และสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ถึง 920 กิโลกรัม/ปี เมื่อเทียบจากการฝังกลบเศษขยะอาหารเพียงวันละ 1 กิโลกรัมเท่านั้น
ปรับแอร์ให้เหมาะสม: การปรับอุณหภูมิแอร์ให้เหมาะสม เช่น จาก 23 องศา เป็น 26 องศา สามารถลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 460 กิโลกรัม/ปี
ถอดปลั๊กทีวีและเครื่องใช้ไฟฟ้า: เรื่องเล็ก ๆ ที่หลายคนละเลยเช่นนี้ หากเราหันมาถอดปลั๊ก หลังใช้งานเสร็จ สามารถลดการปล่อย CO2 ได้ 1.8 กิโลกรัม/ปี เมื่อเทียบจากการเสียบปลั๊กทีวีทิ้งไว้ 20 ชั่วโมง/วัน
ปิดไฟเมื่อไม่ใช้: การปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน สามารถลดการปล่อย CO2 ได้ 11 กิโลกรัม/ปี เมื่อเทียบจากการเปิดหลอดไฟ LED 8 วัตต์ ทิ้งไว้ 8 ชั่วโมง/วัน
เดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ: หากงดกิจกรรมที่ต้องเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว เช่น เลือกประชุมออนไลน์ สามารถลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 1,500 กิโลกรัม/ปี เมื่อเทียบจากการขับรถยนต์ 40 กิโลเมตร/วัน
เอาเป็นว่า…เพียงไม่กี่พฤติกรรมนี้เราก็สามารถช่วยลด CO2 ได้มากกว่า 2,900 กิโลกรัม/ปี หากเทียบให้เห็นภาพ ก็จะเท่ากับ การปลูกป่าโกงกาง ประมาณ 1 ไร่ นั่นเอง รู้เช่นนี้แล้ว…ก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยผ่าน เพื่อทำให้ลูก หลาน ทายาทในรุ่นต่อ ๆ ไปของพวกเรายังต้องทนแบกรับวิกฤตโลกร้อน หรือ Climate Emergency อีกต่อไป ทั้งที่เราช่วยกันแก้ไขได้อย่างไม่ยากเย็น
‘Circular Economy’ คือหนึ่งทางรอดของวิกฤตโลกร้อน และไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แม้เราจะเข้าใจดีว่าวิกฤตนี้ไม่ใช่หน้าที่ของใครหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ภาคธุรกิจก็พยายามออกมารณรงค์เพื่อกระตุ้นให้สังคมเข้าใจความสำคัญ และแนะแนวทางที่สามารถทำเพื่อโลกร่วมกันได้ ยกตัวอย่าง SCG กับแนวคิดการดำเนินธุรกิจแบบ Circular Economy หรือ หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามวิถี SCG Circular Way ซึ่งเป็นการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรธรรมชาติใน Value Chain ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการของเสีย วัตถุดิบ สินค้าที่หมดอายุ และพลังงาน เพื่อให้สามารถเป็นทรัพยากรที่หมุนเวียนอยู่ในระบบด้วยกระบวนการที่เหมาะสม โดยใช้เทคโนโลยี เข้ามาเปลี่ยนระบบผลิตทางตรง จาก Take > Make > Dispose สู่ระบบผลิตแบบหมุนเวียน คือ Make > Use > Return ทดแทนรูปแบบเดิมอย่าง Linear Economy หรือ เศรษฐกิจแบบเส้นตรง ที่นำทรัพยากรมาผลิตสินค้าและต้องทิ้งทันทีเมื่อเลิกใช้งาน ซึ่งสร้างผลกระทบต่อโลกและทรัพยากรโดยตรง
หากจะยกตัวอย่าง Circular Economy ที่เกิดขึ้นในมุม SCG ให้ชัดเจน ก็คือ
- การลดใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิต เช่น กล่องกระดาษ Green Carton ที่ลดการใช้วัตถุดิบลง 25% แต่ยังคงความแข็งแรงเท่าเดิม
- พัฒนานวัตกรรมทดแทนสินค้าหรือวัตถุดิบชนิดเดิม ด้วยสินค้าหรือวัตถุดิบชนิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ปูนโครงสร้าง SCG สูตร Hybrid ที่ใช้วัตถุดิบคุณสมบัติพิเศษกว่าปูนทั่วไป ให้ความแข็งแรงและทนทานยิ่งขึ้น
- เพิ่มความสามารถในการหมุนเวียนสินค้าที่ใช้แล้วให้กลับมาใช้ใหม่ เช่น CIERRA Functional Materials สารพิเศษที่ช่วยปรับคุณสมบัติพลาสติกที่ใช้แล้วให้สามารถใช้วัสดุชนิดเดียว แต่มีคุณสมบัติหลากหลายทดแทนการใช้วัสดุหลายชนิด เพื่อทำให้การนำกลับมารีไซเคิลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แต่ไม่ใช่แค่ดำเนินการในภาคธุรกิจ เพราะ SCG ยังผลักดันให้ผู้บริโภคได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของ พฤติกรรมใหม่ ในรูปแบบต่าง ๆ ภายใต้แนวปฏิบัติ SCG Circular Way ในคอนเซปต์ #ใช้ให้คุ้ม #แยกให้เป็น #ทิ้งให้ถูก เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้ซ้ำ ใช้สิ่งของต่าง ๆ ให้คุ้มค่า จนกว่าหมดอายุขัย เพื่อลดกระบวนการผลิตใหม่ที่ทำให้เกิด CO2 รวมถึงการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและเหมาะสม เช่น ปรับการเปิดแอร์ไปที่ 26 องศา, ปิดไฟ ปิดแอร์ ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จ, ไม่นำของร้อนเข้าตู้เย็นในทันทีเพราะจะทำให้เครื่องต้องทำงานหนัก เป็นต้น
รวมถึงการแยกขยะให้ถูกประเภท แล้วทิ้งให้ถูกถัง เพื่อลดพลังงานในการจัดการขยะ และสามารถทำให้ขยะถูกหมุนเวียนกลับมาสร้างคุณค่าใหม่ได้อีกครั้ง
ปักธง…เปลี่ยนเรื่องเข้าใจยากให้ ‘ง่าย และกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว’
นอกจากนี้ SCG ยังผลักดัน Circular Economy ให้เป็นเรื่องใกล้ตัวของคนทั่วไป ได้เข้าใจและเห็นภาพจากการลงมือทำจริงผ่านโครงการต่าง ๆ ที่เข้าถึงชุมชนและสังคมมากขึ้น เช่น บางซื่อโมเดล โครงการบริหารจัดการขยะที่เริ่มจากคนทั้งองค์กร SCG ปรับพฤติกรรมใหม่ง่าย ๆ จากการ ใช้ให้คุ้ม แยกให้เป็น ทิ้งให้ถูก, ชุมชน Like ขยะ ที่ร่วมมือกับโรงเรียนโขดหินมิตรภาพที่ 42 จังหวัดระยอง เพื่อส่งเสริมให้ชุมชน บ้าน วัด โรงเรียน มีการคัดแยกและจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ, ถนนพลาสติกรีไซเคิล ความร่วมมือกับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ในการจัดทำถนนไอเดียใหม่ที่มีส่วนผสมของยางมะตอยกับพลาสติกที่ใช้แล้ว เป็นต้น ทั้งยังมีการนำเสนอแคมเปญรณรงค์ Circular Economy ผ่านสื่อและรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะวิดีโอออกมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
รวมถึง กลยุทธ์สร้างการรับรู้บนโซเชียลมีเดียยอดฮิตอย่าง TikTok เป็นครั้งแรกของ SCG เพื่อสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ กับกิจกรรม TikTok Hashtag Challenge #ลดโลกร้อนเริ่มที่เรา ที่เชิญชวนให้ร่วมสนุกด้วยการทำคลิปบอกวิธีลดโลกร้อนในแบบของตัวเอง ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 63-21 ม.ค. 64 โดยผู้ที่ทำคลิปออกมาได้โดนใจมากที่สุดจะได้รางวัลใหญ่ iPad และมีกระเป๋ารักษ์โลกแจกตลอดเดือน พ.ย. และ ธ.ค. นี้ อีกเดือนละ 10 รางวัล สามารถเข้าไปชมและร่วมสนุกได้ที่ https://vt.tiktok.com/ZStQLR7N/
จะเห็นได้ว่าคอนเซปต์และไอเดียต่าง ๆ ที่ SCG พยายามผลักดันให้ทุกคนเปลี่ยนไปด้วยกันนี้ ไม่ได้เพื่อทำให้ชุมชนใดชุมชนหนึ่งประสบความสำเร็จ แต่เป็นการชักชวนให้เปลี่ยนอย่างยั่งยืน เพื่อทำให้โลกพ้นวิกฤต และกลายเป็นการส่งต่อความสำเร็จ ส่งต่อแรงบันดาลใจ จากคนกลุ่มหนึ่ง สังคมหนึ่ง ต่อไปยังกลุ่มอื่น ๆ ทั่วทั้งประเทศไทยและทั่วโลก แล้วคุณล่ะ เริ่มลงมือลดโลกร้อนกันรึยัง? ร่วมค้นหาวิธีลดโลกร้อนเพิ่มเติม ได้ที่ https://bit.ly/2FuDxKf