วิกฤต Covid-19 ทำพิษบาดแผลให้กับพวกเราไปทั่ว แทบไม่มีใครที่ไม่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะธุรกิจที่เป็นปากท้องของคนไทยอย่าง “ร้านอาหาร” หลายแห่งต้องปรับตัว ขยับมาเป็นแบบเดลิเวอรี่ หรือขายในออนไลน์ แต่ยังมีร้านอาหารอีกกลุ่มหนึ่ง ที่อาจจะยังไม่ได้เข้าถึงบริการแบบเดลิเวอรี่ ไม่ได้มีกำลังทรัพย์หรือความถนัดมากพอในการโปรโมตบนออนไลน์ กลุ่มที่เราเรียกกันคุ้นปากว่า “ร้านข้างทาง”
เราจะช่วยเขาได้อย่างไร?
นี่คือคำถามง่ายๆ ที่ผุดขึ้นมาจากทีมงานกรุงไทย “ร้านข้างทาง” เป็นเหมือนเส้นเลือดฝอยที่คอยหล่อเลี้ยงสังคมไทย กระจายอยู่ทุกชุมชน แทบทุกมุมถนนของประเทศ “ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน” ประโยคสั้นๆ ที่ดังขึ้นมาระหว่างที่ทุกคนกำลังคิดหาทางออก คือจุดเริ่มต้นของคำสัญญาและความหวังเล็กๆ ที่พวกเขาอยากให้เกิดขึ้น
#ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าพลังบนโซเชียลนั้นไม่ธรรมดา แคมเปญนี้เริ่มต้นจากการจุดกระแสเล็กๆ บนโซเชียล ด้วยแฮชแท็ก #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน จากการสังเกตว่าคนไทยชอบถ่ายรูปอาหาร ชอบรีวิวอาหารเป็นทุนเดิม กรุงไทยเลยถือโอกาสชวนให้คนไทยมา “รีวิวร้านข้างทาง” ที่เคยทานกันเป็นประจำ ให้คนที่เห็น ได้นึกถึงร้านข้างทางที่ตัวเองคุ้นเคย ได้ช่วยกันอุดหนุน เหมือนเป็นวิธีที่ให้คนธรรมดาอย่างพวกเรา ช่วยกันโปรโมต ช่วยกันรีวิวให้ร้านเหล่านี้เป็นที่ได้ยิน
จะเห็นว่าแต่ละคนก็มีลีลาในการรีวิวร้านต่างกันออกไป ถ่ายรูปกับร้านบ้าง อาหารบ้าง พร้อมชี้เป้าชื่อร้าน ที่ตั้ง เบอร์โทรช่องทางการติดต่อ ช่วยกันโพสต์ในช่องทางที่ตัวเองถนัด ทั้ง Facebook และ Twitter เพจดังๆ รวมทั้งเพจกรุงไทยเอง สื่อต่างๆ และดารานักแสดง ต่างก็ช่วยกันรีวิว จนกลายเป็นแฮชแท็ก HOT ติดเทรนด์ Twitter เลยทีเดียว HOT ถึงขั้นมีพ่อค้าแม่ค้าเอาแฮชแท็กนี้ไปติดเพื่อโปรโมตร้านให้คนเห็นเยอะขึ้น พร้อมทั้งได้ช่วยเหลือร้านค้ามากกว่า 10,000 ร้านค้า และมีคนไทยร่วมด้วยช่วยกันมากกว่า 1,000,000 engagement ตลอดแคมเปญ
ห่างกัน…ไม่ได้แปลว่าต้องทิ้งกัน
ถึงแม้แคมเปญนี้จะประสบความสำเร็จกลายเป็นกระแสขึ้นมา แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการที่ “ร้านข้างทาง” หลายร้านยังอยู่ได้ในวันที่ยากแบบนี้ คือการที่เราคนไทยได้ช่วยคนไทยด้วยกัน ลุกขึ้นมาเคียงข้างกัน…แม้ในวันที่ต้องอยู่ห่างกัน ตอกย้ำสิ่งที่กรุงไทยทำมาตลอด…นั่นคือ “กรุงไทยรักชุมชน”