มาดูโฆษณาเกี่ยวกับแม่ในญี่ปุ่น เขาเป็นยังไงกันนะ?

  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  

mmy

เพื่อเป็นการฉลองวันแม่ 12 สิงหาที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ วันนี้เราเอาโฆษณาเกี่ยวกับแม่ในญี่ปุ่นมาให้ดูกันดีกว่า

ต้องปูพื้นก่อนว่าสำหรับสังคมญี่ปุ่น แม้ปัจจุบันสตรีญี่ปุ่นจะมีทางเลือกมากขึ้นแต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ยังตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาเป็นแม่บ้านเต็มเวลาหลังจากแต่งงานมีสามีและลูกน้อย ที่น่าสนใจคือคนในสังคมญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังคงให้ค่ากับ “แม่บ้านเต็มเวลา” ว่าเป็นผู้เสียสละ อดทน และแน่นอน เมื่อมีคนกลุ่มนี้เยอะผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ก็ถูกส่งออกมาเพื่อสนับสนุนคนกลุ่มนี้ (เราไม่ได้หมายความว่าการเป็นแม่บ้านเต็มเวลาไม่ดีนะเพียงแต่ชี้ให้เห็นเทรนด์ของชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่)

ดังนั้น “แม่” ที่สังคมญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นคือ working mom หรือคุณแม่ที่ต้องทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย บริษัท Cybozu ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ในโตเกียวมองเห็นจุดบอดตรงนี้และตัดสินใจส่งโฆษณาเพื่อให้สังคมตระหนักว่ายังมีคนกลุ่มนี้อยู่ในประเทศนะจ๊ะ และพวกเธอต้องลำบากจากการที่หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน และคนอื่นๆ ในสังคมไม่เข้าใจความพยายามในการสมดุลชีวิตครอบครัวและงานเข้าด้วยกัน

mom3

เนื้อหาภายในโฆษณาที่ Eri Fukatsu ดาราหญิงแสดงนำเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ working mom ซึ่งต้องทำงานเต็มเวลาเพื่อช่วยหาเลี้ยงครอบครัว วันหนึ่งลูกของเธอเกิดป่วยและเธอต้องรีบออกจากที่ทำงานเพื่อมารับลูกไปหาหมอ เนื้อหาไม่มีอะไรมากมายนอกจากความคิดยุ่งยากใจของแม่คนหนึ่งที่ต้องคิดสะระตะเพียงแค่พาลูกไปหาหมอสักครั้งนึง จากนั้นเธอจึงเริ่มคิดกลับไปมาว่าตัวเองต้องเสียอะไรไปบ้างในการเป็นแม่คน ต้องเสียสละเวลานอน เสียเวลาทำข้าวกลางวันให้ลูก หาทางไปทำงานให้ทันแม้จะต้องพาลูกไปหาหมอตอนเช้า

ความคิดของเธอหยุดลงเมื่อลูกถามว่า “แม่ ยังไหวอยู่ใช่ไหมครับ?”

httpv://youtu.be/AiTh3PNblo4

ส่วนตัวผมชื่นชอบมิติของการมอง “แม่” ในสายตาของผู้ผลิตแคมเปญอย่างมาก เริ่มต้นจากพวกเขาไม่ได้เล็งเป้าไปที่ “แม่” ส่วนใหญ่ของสังคมที่เป็นแม่บ้านเต็มเวลา แต่กลับมองไปยังกลุ่มคนชายขอบซึ่งคือแม่ที่เป็น working mom ของสังคม การนำเสนอเพียงเศษเสี้ยวของปัญหาทำให้เรารู้ว่าการเป็นคุณแม่ที่ต้องทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วยมีความยากลำบากแค่ไหน ชอบสองคือการมอง “ความรักที่มีต่อลูก” ของภาพยนตร์โฆษณานี้มันแนวได้ใจเสียเหลือเกินกล่าวคือเราจะเห็นว่า “แม่” ในโฆษณานี้ ไม่ได้รักลูกตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ใช่ว่าเมื่อเกิดเป็นแม่ลูกกันแล้วก็ต้องรักกันปานกลืนกิน ไม่ แต่ “แม่” ในโฆษณานี้มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ มีความเป็นมนุษย์ และมีช่วงเวลาจิตตก ช่วงเวลาที่เหนื่อย และช่วงเวลาน้อยเหนื่อยต่ำใจว่าการมีลูกนี่มันช่างแย่งชิงสิ่งดีๆ ไปจากชีวิตเรามากมาย แต่ชอบสามคือการขมวดจบเรื่องที่นำเอากำลังใจเล็กๆ จากลูกมาให้แม่ “ไหวไหมแม่” คำพูดประโยคสั้นๆ เรียบง่ายและไม่ฟูมฟายนี้เป็นตัวแสดงว่าลูกชายซาบซึ้งและรู้ดีว่าแม่เหนื่อยแค่ไหน “ลูก” ในโฆษณานี้จึงไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาที่เรียกร้องจากแม่ฝ่ายเดียว ตรงกันข้ามเขาเริ่มมีความเป็น “ผู้ใหญ่” ที่จะเข้าใจผู้อื่นและรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นภาระของแม่อยู่

คีย์หลักที่โฆษณานี้พยายามสื่อสารเท่าที่สมองน้อยนิดของผมจะตีความได้คือ ความรักมันมีขึ้นมีลง มันมีช่วงเวลาที่เหนื่อยจนแม้แต่แม่ก็ยังอยากพักอยากพอ อยากเลิกเป็นแม่ แต่สุดท้ายด้วยความเข้าใจกัน ด้วยกำลังใจเล็กๆ จากลูก (และคุณๆ ทุกคนที่กำลังดูโฆษณานี้อยู่) เขาทั้งสองจะสามารถประคับประคองความสัมพันธ์นี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง

สุดท้าย การเป็นแม่ลูกของโฆษณานี้ไม่ใช่การรักกันอย่างฟูมฟาย รักกันอย่างที่ต้องบอกให้โลกรู้ หรือรักกันแบบฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายให้และอีกฝ่ายรับอย่างเดียว แต่มันเป็นความสัมพันธ์ที่ทั้งแม่และลูกต้องช่วยกันประคองแขนอีกฝ่ายให้เดินไปบนเส้นทางที่มีขวากหนามสู่จุดหมายในวันข้างหน้า เพื่อชีวิตที่ดีกว่าและสบายกว่านี้

…คิดไปแล้ว ความรักแบบฟูมฟาย กราบเท้า ถ่ายเซลฟี่กับแม่ลงโซเชียลฯ พรุ่งนี้ News feed ก็คง flood ทิ้งไปหมดแล้วละมั้งครับ

ป.ล. แถมวีดีโอตัวถัดมาของซีรี่ย์นี้ครับ

httpv://youtu.be/cZPnvo6U6NQ

Source

 


  • 1
  •  
  •  
  •  
  •