เพราะ “สี” ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม สีคือการตลาด สีคือจิตวิทยา แล้วสีก็ยังชี้ชะตายอดขายสินค้าได้อีกด้วย! และนั่นก็เลยเป็นเหตุผลว่า ทำไม iPhone 11 ถึงได้สลัดคราบแบรนด์เท่ ทิ้งสไตล์มินิมัล และหันมาเติมสีลูกกวาดเข้ามาถึง 4 สี
สำหรับการเปิดตัวiPhone 11 ของแอปเปิลเมื่อเร็วๆ นี้ ถ้าดูเฉพาะรูปลักษณ์ นอกจากกล้องปูดๆ ที่ถูกล้อกันไปทั่วโลกแล้ว ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนของ iPhone 11 คือ หนนี้พี่เขาเลิกเดินสายหล่อแบบที่เคยใช้แต่สีเบสิคเรียบๆ คูลๆ โดยหันมาจัดเต็มคัลเลอร์ฟุล
นอกจากสีขาว และสีดำที่มีอยู่เดิม เพิ่มเติมมาก็คืออีก 4 สีใหม่ คือ สีแดงเข้ม สีม่วง สีเหลือง และสีเขียว ที่มาในโทนพาสเทล ดูวัยรุ่นมากขึ้น หรือแม้แต่ตัวพรีเมียมอย่างiPhone 11 Pro ก็ยังเพิ่งเติมสีเขียวแนวหรูอย่างที่แอปเปิลเรียกว่า Midnight green เข้ามาด้วย
จากบทความ Apple is bringing back crazy colors after years of minimalism. Here’s why โดย Fast Company ได้ระบุว่า นี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบๆ 20 ปีเลยก็ว่าได้ที่แอปเปิลกลับมามีสีสันอีกครั้ง โดยเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า เดิมทีแอปเปิลเคยแจ้งเกิดด้วยคอมพิวเตอร์สีสันสดใสจนกลายเป็นเอกลักษณ์ แต่ตอนหลังก็หันมาสู่เส้นทางมินิมัลที่เล่นแต่สีขาว สีดำ และสีเทา จะมีสีอื่นๆ แทรกเข้ามาก็แค่ในบางโอกาสเท่านั้น เช่น ตอนทำ iPod mini และ iPhone 5c ที่มาแค่แป๊บเดียว แต่หลักๆ แล้ว สินค้าของแอปเปิลตั้งแต่ยุค 2000 เป็นต้นมา ก็เน้นวัสดุมันวาวอย่างแก้วและอะลูมิเนียม ซึ่งแน่นอนว่า มันให้ความรู้สึกพรีเมียม ไร้กาลเวลา แต่ในทางกลับกัน มันก็ออกจะนิ่งเกินไปไม่ได้สะท้อนสิ่งที่ผู้ใช้เป็น
แล้วก็ไม่ใช่แค่กับ iPhone 11 เท่านั้นที่มีสีสันสดใสมากขึ้น เพราะตอนนี้สาวกชาวนิวยอร์กก็กำลังรอลุ้นว่า “แอปเปิลสโตร์ สาขา Fifth Avenue” ที่กรุงนิวยอร์ก ซึ่งกำลังปิดปรับปรุงมาตั้งแต่ปี 2017 และจะเผยโฉมในวันที่ 20 กันยายนนี้ เมื่อเสร็จแล้วจะเต็มไปด้วยสีสันขนาดไหน
..เพราะถ้าดูจากการโปรโมทด้วยการสาดสีรุ้งเข้าไปที่ลูกบาศก์แก้วขนาดยักษ์ ไอคอนสำคัญของสาขานี้แล้ว นี่อาจจะถือเป็นการบอกใบ้กลายๆ ถึงการกลับมาสู่วิถีแห่งสีสันของแอปเปิลก็เป็นได้!
“เมื่อคิดถึงแอปเปิล คนก็จะนึกถึงเรื่องสีสัน เพราะบริษัทนี้เริ่มต้นด้วยสีสัน”
Laurie Pressman รองประธาน Pantone Color Institute เจ้าสำนักผู้กำหนดเทรนด์สีของโลก เอ่ยวิเคราะห์ถึงเอกลักษณ์ที่คนทั่วโลกจดจำแอปเปิลได้
ในความเห็นของ Pressman เธอมองการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ว่า น่าจะเป็นเพราะแอปเปิลทราบดีว่า วันนี้สมาร์ทโฟนไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่มันยังถือเป็นแอคเซสเซอรี่ ขณะเดียวกัน “สีสัน” ก็ได้เบียดขึ้นมาเป็นกระแสหลักแทนที่สไตล์มินิมัลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
..นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราได้เห็นแอปเปิลส่ง iPhone 11 ลงแจกความสดใสให้กับตลาดสมาร์ทโฟนในครั้งนี้
ทั้งนี้ Pressman ได้แชร์ความเห็นกับ Mark Wilson นักเขียนจาก Fast Company ถึงประสบการณ์การทำงานร่วมกับหัวเว่ยในการเลือกสีสำหรับโทรศัพท์ที่จะขายในประเทศจีน
“หัวเว่ยบอกกับเราว่า ผู้คนเดี๋ยวนี้ใช้โทรศัพท์แค่ปีเดียวแล้วก็เปลี่ยนใหม่ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะคนจีนมองโทรศัพท์เป็นแอคเซสเซอรี่ชิ้นหนึ่งของพวกเขา”
เพราะการถือสมาร์ทโฟนวันนี้ มันไม่ใช่แค่การถือโทรศัพท์ แต่มันยังเป็นสิ่งสะท้อนตัวตน สะท้อนสไตล์ของผู้ถือด้วย
“มันน่าสนใจมาก เพราะฉันไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในอเมริกา ที่ผู้คนจะขายทิ้งโทรศัพท์เก่าเพื่อซื้อของใหม่ในปีถัดไป”
เมื่อแอปเปิลมองไอโฟนเป็นเรื่องของเทคโนโลยี จึงส่งผลสู่ยอดขายที่ดิ่งลงเนื่องจากผู้บริโภควันนี้ไม่ได้ยึดติดกับแบรนด์อีกต่อไป ขณะที่หลายรายเริ่มรู้สึกไม่คุ้มค่ากับการจะเสียเงินถอยไอโฟนรุ่นใหม่มา ในเมื่อเทคโนโลยีไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสุดโต่ง
การกลับคืนสู่สังเวียนสีสันในครั้งนี้ Pressman เห็นว่า แอปเปิลได้มาถูกทางแล้ว และนี่ก็คือหนทางที่ทุกๆ บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ควรจะเดินมา เพราะด้วยพลังของสื่อโซเชียลได้ขับเคลื่อนให้คนรุ่นมิลเลนเนียลและเจนเนอเรชั่นซีสาดสีกันทั่วทั้งกระดาน
“ลองคิดดูว่าผู้คนใช้เวลากับโซเชียลมีเดียมากแค่ไหน แล้วฉันจะทำยังไงถึงจะดึงดูดความสนใจของผู้คนได้.. ก็สียังไงล่ะ” Pressman กล่าว
“ถ้าคุณมัวแต่ใช้แค่สีทึมๆ หรือสีเบจ คุณก็จะกลืนไปกับพื้นหลัง แล้วก็หายไปจากตรงนั้น” เธออธิบาย
และขยายความว่า ด้วยอิทธิพลของอินสตาแกรมก็ทำให้หลายๆ ธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนเรื่องดีไซน์และการใช้สีให้ดูโดดเด่นเวลาลูกค้าโพสต์บนโซเชียล
ย้อนกลับมาที่ iPhone 11 Pro ในความเห็นของ Pressman เธอบอกว่า สีกรีนเมทัลลิกที่ใช้สามารถดึงดูดตาเธอได้เลยในทันทีที่เห็น
“มันทำให้ฉันอยากได้โทรศัพท์ใหม่เลยล่ะ” เธอบอก และจำกัดความถึง สีที่แอปเปิลเลือกมาใช้กับ iPhone 11 Pro ว่า เป็นสี “หล่อ” เพราะด้วยความเมทัลลิกของตัวเครื่องมันทำให้รู้สึกได้ถึงความพรีเมียม ความแพง แล้วก็ดึงดูดสายตาได้สมกับการเป็นไลน์พรีเมียมของตระกูล iPhone 11 แถมยังตรงกันกับสีที่อยู่ในการคาดการณ์เทรนด์สี Pantone ประจำปี 2020 ด้วย
ส่วนสีที่ใช้ในไลน์พื้นฐานของ iPhone11 ที่ราคาย่อมเยาลงมานั้น Pressman อธิบายว่า สีขาว สีดำ และสีแดง ถือเป็น “เฉดสีพื้นฐาน” ที่ค่อนข้างปลอดภัย แม้กระทั่งสีแดงก็ยังถือว่า ปลอดภัย
ขณะที่โทนสีพาสเทลที่เห็นใน iPhone 11 นี้ ก็ถือเป็นเฉดสีที่เป็นยูนิเซ็กส์ หรือ ไม่ระบุเพศซึ่งถือเป็นเทรนด์ด้วยเช่นกัน โดยโทนสีพาสเทลนั้นได้เข้าไปอยู่ในแทบทุกวงการดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งบ้าน ไปจนถึงงานแพคเกจจิ้งดีไซน์ ซึ่ง Pressman อธิบายว่า การที่ผู้บริโภคเลือกซื้อโซฟาสีพาสเทลเข้าตกแต่งบ้าน นั่นก็เพราะเขารู้สึกว่า มันเป็นสีที่คนทั้งบ้านใช้ได้ แล้วมันก็ให้ความรู้สึกปลอดภัย และเป็นสีที่ใช้ได้นาน
และถ้าวิเคราะห์ในมุมของจิตวิทยา ทราบหรือไม่ว่า ในห้วงเวลาที่โลกเราแวดล้อมด้วยความวุ่นวายทางการเมือง และยังมีคลื่นเทคโนโลยีที่โหมกระหน่ำด้วยสารพัดแกดเจ็ตที่เหมือนเป็นยาเสพติดมากกว่าจะช่วยรักษาโรค
“ผู้คนเริ่มต่อต้านเทคโนโลยี แล้วสีโทนพาสเทลก็เป็นสีที่ให้ความรู้สึกสงบ อ่อนโยน มองโลกในแง่ดี” เธอกล่าว และตบท้ายว่า
..งานนี้ต้องขอปรบมือดังๆ ให้กับแอปเปิล เพราะในขณะที่เทคโนโลยีกำลังทำให้คนเราเป็นบ้า แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราสงบลงได้ด้วย!
source : fastcompany