Facebook Business X Marketing Oops!
จากงานประกาศรางวัล Adman Award 2019 ที่ผ่านมา นอกจากเราจะได้เห็นรางวัลมากมายแล้ว สิ่งที่ Marketing Oops! ประทับใจและอยากรวบรวมมาให้นักการตลาดมั่นใจว่าคุณไม่ได้พลาดแคมเปญจีเนียสเหล่านี้ เพราะนอกจากจะเป็นแคมเปญที่ได้รางวัลแล้ว ยังเป็นแคมเปญที่ทำออกมาได้อย่างน่าทึ่ง และแตกต่างจากแคมเปญทั่วๆไป เพราะแคมเปญเหล่านี้ ถูกคิดจากฟีเจอร์การทำงานของโซเชียล สู่การสร้างยอดขาย สร้างการรับรู้ และแบรนด์เลิฟ ได้อย่างประสบความสำเร็จ และต้องเทใจให้เลย ที่สำคัญ แคมเปญเหล่านี้ เกิดจากครีเอทีฟไทย บนแพลตฟอร์มโซเชียลที่เราใช้กันเป็นประจำ
เป๊ปซี่ไทย กับการใช้ AR Karaoke สร้างการรับรู้ผ่าน Facebook Messenger Bot และสร้าง Impact บนโมบาย
อีกหนึ่งแคมเปญที่สร้างความต่างบนโซเชียล ด้วยการใช้เทคโนโลยี Augmented Reality สร้าง AR Karaoke บน Facebook เป็นที่แรก เพื่อต่อยอดแคมเปญ “เป๊ปซี่ซ่า…สุดทุกดนตรี” ที่ทางเป๊ปซี่ชูกลยุทธ์มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง ผ่าน 4 ศิลปินใหญ่ของวงการเพลงเพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษผ่านมิวสิคอีเว้นท์ตลอดหน้าร้อน ถือเป็นการต่อยอดดิจิทัลแคมเปญ “เป๊ปซี่ซ่า…สุดทุกดนตรี” สู่ ‘Pepsi Music AR คาราโอเกะ’ บน Facebook และ Instagram ที่สามารถดึงกลุ่มวัยรุ่นให้มีประสบการณ์ร่วมร้องคาราโอเกะบน Facebook Feed สร้างประสบการณ์แบบคอนเทนต์แนวตั้ง หรือ Vertical Experience ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
โดยกลุ่มวัยรุ่นจะเห็นแคมเปญผ่านทาง Facebook Feed หรือทาง QR Code ที่ทางแบรนด์ใช้สื่อสารในช่องทางต่างๆ รวมถึงบนกระป๋องเป๊ปซี่ QR Code จะพาเข้าสู่ Messenger Bot ของ Facebook ที่มีข้อความเชิญชวนให้ร้องคาราโอเกะ กับศิลปินหลายๆท่าน เพื่อสะสมคะแนนและแลกรางวัล
Pepsi Music จัดให้เป็นศิลปินสุดซ่าได้ง่ายๆกับ AR คาราโอเกะจากเป๊ปซี่
Pepsi Music จัดให้เป็นศิลปินสุดซ่าได้ง่ายๆกับ AR คาราโอเกะจากเป๊ปซี่ จะสนุกเฮฮาแค่ไหนมาดูกัน อยากเล่นคลิกเลย >> http://m.me/PepsiThai?ref=music_2019_Ads #มาร้องเพลงกัน
โพสต์โดย Pepsithai เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2019
ความพิเศษของคาราโอเกะนี้ คือ ประสบการณ์ที่สามารถทำได้ในทันทีจากโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน โดยผู้ร้องคาราโอเกะสามารถเลือกสวมบทบาทศิลปินที่ต้องการร้องคาราโอเกะได้ตามต้องการ จะร้องคาราโอเกะ คนเดียว หรือร้องพร้อมๆกับเพื่อนๆด้วยกันก็ได้เช่นกัน และผู้ร่วมสนุกทุกท่านก็จะมีมิวสิควิดีโอคาราโอเกะของตัวเองเพื่อให้แชร์ผ่านโซเชียล
แคมเปญนี้ ถือเป็นแคมเปญที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์บนโทรศัพท์มือถือ หรือ Mobile First เป็นหลัก ทั้งประสบการณ์ร้องคาราโอเกะตรงผ่านโทรศัพท์มือถือ และการใช้ศิลปินที่ร่วมแคมเปญเป็นตัวกลางในการสื่อสาร โปรโมทผ่าน วิดีโอแนวตั้ง (Vertical Short Video) เพื่อดึงแฟนๆ มาร่วมสแกน QR Code และร้องคาราโอเกะร่วมกัน
แสงโสม AM/PM คอลเลคชั่น กับการใช้ฟีเจอร์ช่วงเวลาของการโฆษณาบน Facebook สร้างกระแสจนไต่อันดับขึ้นมาสู่แบรนด์ อันดับ 1 บนโซเชียล
เพราะข้อจำกัดของการโฆษณาแบรนด์และสินค้าแอลกอฮอลล์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้มาก แสดงขวดไม่ได้ เชิญชวนไม่ได้ หรือแทบจะทำโฆษณาอะไรไม่ได้เลย มากกว่าไปกว่านั้น การจำหน่ายแอลกอฮอลล์ยังถูกจำกัดเวลา ให้สามารถจำหน่ายได้ 2 ช่วงเวลา คือ 11:00น – 14:00น. และ 17:00น – เที่ยงคืน ทำให้หลายแบรนด์ต้องหาทางทำโฆษณาผ่านช่องทางอื่นแทน เช่น การจัดอีเว้นท์ หรือการทำแบรนด์เสื้อผ้าของใช้จำหน่ายเพื่อสร้างแบรนด์และจดจำแบรนด์
ด้วยเหตุนี้ “แสงโสม” จึงหาวิธีสร้างตัวตน สร้างกระแสของแบรนด์ในช่วงเวลาที่ห้ามขาย ด้วยการผลิตเซ็ตสินค้าแฟชั่น ‘Fashion Set’ ซึ่งเป็นที่มาของ ‘Sangsom AM/PM Collection’ ซึ่งไม่ได้ทำมาเพื่อแจก แต่ทำมาเพื่อขายในราคาที่ต่างกัน
กิมมิคของแคมเปญนี้ คือ การเล่นกับช่วงเวลาโฆษณาบน Facebook โดยคอลเล็คชั่นเสื้อผ้า AM/PM นั้นถูกโปรโมทด้วยราคาปกติในเวลากลางวัน และกำหนดในโฆษณาแสดงราคาแสนแพงในเวลากลางคืน เพราะแสงโสมอยากให้ทุกคนไปปาร์ตี้ในช่วงเวลากลางคืน ด้วยราคาเสื้อหลักแสน ทำให้เกิดกระแสในหมู่วัยรุ่น กระตุ้นให้แบรนด์แสงโสมได้สร้าง brand love และสร้างความสะใจให้กับกลุ่มเป้าหมายไม่น้อย
นอกจากจะได้ Brand love และดึงคนให้ไปปาร์ตี้ช่วงเวลา PM แล้ว เสื้อผ้าคอลเล็คชั่น AM/PM ยังขายดิบขายดี 3,000 ชิ้น ขายหมดใน 2 วัน ได้ฟรีมีเดียมากมายบนโซเชียล กับ 200,000 engagement ด้วยงบโฆษณาเพียง 0.2 บาทต่อคลิก จำนวนเพจไลค์เพิ่มขึ้น 20% และไต่อันดับขึ้นเป็นสุดยอดแบรนด์อันทรงพลังบนโซเชียลมีเดีย อันดับหนึ่งในกลุ่มเพจแอลกอฮอลล์
Netflix The ‘Unmuted Trailer’ 1 Trailer 2 เรื่องราวความรัก แตกต่างกันเมื่อ “เปิด” และ “ปิด” เสียง
ฉลาดอย่างไม่เคยมีมาก่อนกับ “ความครีเอทีฟ ที่ไม่เหมือนกัน” กับการสร้าง Awareness ของ Trailer ที่เล่นกับพฤติกรรมผู้บริโภคในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ซีรีส์ที่สุดครีเอทีฟและน่าทึ่ง เพราะสร้าง Trailer มาเพื่อเล่นกับพฤติกรรมคนเสพโซเชียล ที่มีพฤติกรรมรับชบวิดีโอบน Facebook แบบปิดเสียงถึง 85%
เพราะอยากให้คนดู Trailer แบบเปิดเสียง ความจีเนียสของ Netflix กับกลยุทธ์สร้างตัวอย่างซีรีส์ ที่ เมื่อดูแบบ “ปิด” เสียง ผู้ชมจะพบเรื่องรัก “โรแมนติก” แต่เมื่อ “เปิด” เสียง กลับกลายเป็น “รักโรคจิต” ของสตอล์กเกอร์
Trailer เรื่อง YOU ซีรีส์ฆาตกรรมโรคจิต ไม่เหมือนภาพยนตร์ตัวอย่างทั่วไป และ Netflix เลือกเปิดตัว Trailer นี้ 2 รูปแบบ คือแบบมีเสียง และไม่มีเสียง หากผู้ชม Trailer นี้แบบปิดเสียง ก็จะเข้าใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังรักโรแมนติด ระหว่าง โจกับเบค และในตอนจบของ Trailer นี้ จะมี sub บอกว่า “ถ้าคุณคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็น หนังรักล่ะก็ คุณลองเปิดเสียงและชมภาพยนต์นี้อีกครั้ง” และหากผู้ชมเปิดเสียงและชมภาพยนตร์ Trailer เรื่องนี้อีกครั้ง จะพบว่าแท้ที่จริงแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ เป็นหนังฆาตกรรมสุดระทึกและลบภาพโรแมนติกออกไปในทันที
Video Case
Unmuted Trailer Official_Thailand
แคมเปญนี้ ได้เปลี่ยนพฤติกรรมคนชมวิดีโอ จาก 85% ที่นิยมชมวิดีโอแบบปิดเสียง เป็น 90% เปิดเสียงดู The Unmuted Trailer หรือ และดูจนจบเรื่อง กระแสของ Trailer เรื่องนี้สามารถสร้าง reach ได้ถึง 17 ล้าน reach ภายในหนึ่งสัปดาห์ 3.1 ล้าน engagement และมีการพูดถึง YOU Unmute Trailer มากกว่า 100,000 เสียงบนโซเชียล
Netflix Upside Down – Real Time Content ตามสั่ง พิมพ์ชื่อจังหวัด จัดให้ทันที
เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการสร้าง Engagement ระหว่างเพจ Netflix กับแฟน Stranger Things ที่ต้องการโปรโมท ซีซั่น 3 ซีซั่นมาใหม่ให้กับสาวก Stranger Things โดยมีกิมมิคของการสร้าง Real Time Content ตามสั่ง ให้กับแฟน Stranger Things ในทุกๆจังหวัดของไทย กับการนำปรากฏการณ์ในซีรีส์มาส่งต่อถึงคนดู ว่าในทุกๆจังหวัดที่เราอยู่นั้น ใครจะรู้ว่ามันคือ โลก Upside Down เพราะทุกที่คือมิติคู่ขนาน แต่เราอาจจะยังไม่เห็นมัน ใครอยากรู้ ให้พิมพ์ชื่อจังหวัดที่ใต้คอมเม้นท์ แล้วแชร์โพสต์ไปที่วอลล์ แล้ว Netflix จะเผยจุดเชื่อมมิติในจังหวัดนั้นให้เอง
Netflix เผยจุดเชื่อมมิติ ที่ จังหวัด นนทบุรี และ สุราษฎร์ธานี
ปรากฏการณ์ Real Time Content ตามสั่งนี้ เกิดขึ้นในเวลาไม่ช้า หลังจากมีคนคอมเมนท์มา Netflix ได้ทำกราฟฟิกแสดงจุดเชื่อมมิติของหลายๆจังหวัดให้กับหลายๆคอมเมนท์ เรียกว่าสร้าง Engagement กันอย่างสนุกสนาน เพราะทุกๆ กราฟฟิกจะมีแลนด์มาร์คของจังหวัดนั้น ทำให้ทุกคนอินกันสุดๆ
งานนี้ Engagement ล้นหลาม การโปรโมท Stranger Things ซีซั่น 3 ให้กับแฟนๆตัวยง สร้างความสำเร็จได้อย่างน่าชม
JD Central ของขวัญตรงใจ ไม่ต้องบอกตรงๆ
แคมเปญนี้จัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างยอดขายในช่วงวันวาเลนไทน์ เป็นแคมเปญที่ทาง JD Central เลือกใช้ “Conversational Commerce” กำหนดยุทธศาสตร์ให้กับแคมเปญการตลาดสร้างยอดขายผ่าน Chat bot และ Facebook Messenger เป็นรายแรกของไทย
แนวคิดของแคมเปญนี้ เกิดจากการนำอินไซต์ Pain Point ของผู้หญิงในวันวาเลนไทน์ ที่มักจะมีความหวังและอยากจะได้ของขวัญที่ถูกใจจากคนรัก แต่ไม่กล้าบอกตรงๆ ว่าอยากจะได้อะไร แต่ก็ยังมีความหวังว่าแฟนจะสรรหาสิ่งนั้นมาให้ และเมื่อได้รับของขวัญจริงๆ ก็ถูกใจบ้าง ผิดหวังบ้าง แต่ก็ต้องทำท่าดีใจเพื่อรักษาความรักและน้ำใจของคนให้
JD CENTRAL จึงออกตัวเพื่อทำหน้าที่นั้นแทนผู้หญิงไทย และได้ช่วยให้ผู้หญิงสามารถบอกแฟนได้อย่างเนียนๆ และไม่เขินอาย ผ่านการประยุกต์ใช้ระบบ Chat bot ทาง Facebook Messenger และ Targeted Ad โดยสามารถเลือกของขวัญที่ต้องการ พิมพ์ชื่อเล่นที่รู้กันสองคนกับแฟน ระบบจะสามารถกำหนดเป้าหมาย ส่งโฆษณาพร้อมข้อความบอกถึงของขวัญที่อยากได้ กำหนดให้ปรากฏแบบรัวๆ บนหน้าเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรมของคนรัก เมื่อคนรักเห็น ก็จะรู้ว่าแฟนกำลังอยากได้อะไร และสามารถกดช้อปของขวัญกับกับทาง JD Central ได้เลย เมื่อถึงวันวาเลนไทน์ ฝ่ายผู้รับก็จะยิ้มแก้มปริเพราะได้ของขวัญที่อยากได้ ฝ่ายผู้ให้ก็ปลื้มที่ได้เลือกให้ของขวัญที่ถูกใจ
แคมเปญนี้ สามารถทำให้คู่รักสมหวังได้มากกว่า 3,000 คู่ และยังสร้างผลลัพท์ที่เกินคาดหมาย ด้วยจำนวน Engagement เพิ่มขึ้นถึง +314%, Engagement ของ Chat bot เพิ่มขึ้น 55.3% มีคู่รักมากกว่า 3,125 คู่ที่ร่วมแคมเปญ และสำหรับยอดขาย JD Central แจ้งว่าเพิ่มขึ้นถึง 17% เมื่อเทียบกับแคมเปญการตลาดอื่นๆที่ผ่านมา
อ่าน Case study เพิ่มเติมได้ที่บทความ JD CENTRAL ตีโจทย์แตก! เผยความสำเร็จแคมเปญ ‘ของขวัญตรงใจ..ไม่ต้องบอกตรงๆ’ เพิ่มยอดขาย ตอบโจทย์อินไซต์ความในใจของคู่รัก
สรุป 5 แคมเปญที่นำมาฝากกันนี้ เป็นแคมเปญที่ “แตกต่าง ไม่เหมือนใคร” มีกิมมิคและการนำเสนอในรูปแบบใหม่อย่างมีครีเอทีฟ ที่ทางเราเชื่อว่าจะช่วยให้นักการตลาดและครีเอทีฟ สามารถต่อยอดการคิดงานในอนาคตได้อย่างมีครีเอทีฟมากขึ้น ผ่านการใช้กฏเกณฑ์และฟีเจอร์ที่มีอยู่แล้วบน Facebook และ Instagram เพียงบางครั้งเราอาจจะนึกไม่ถึงว่าฟีเจอร์ง่ายที่มีอยู่แล้วนี้ เราสามารถนำมาสร้างเป็นแคมเปญโฆษณาที่แตกต่าง และสามารถคว้าสุดยอดรางวัลได้อย่างแคมเปญข้างต้น
อยากจะมีแคมเปญที่แตกต่าง และใช้ฟีเจอร์ของ Facebook หรือ Instagram ให้ครีเอทีฟและสร้างอิมแพคให้กับโฆษณา สามารถทำได้ ด้วยการปรึกษาทีมงาน Facebook Creative Shop หน่วยงานพิเศษของทาง Facebook ที่พร้อมจะให้คำปรึกษา และร่วมคิดแคมเปญร่วมกันกับทั้งเอเจนซี่โฆษณา และกับทีมงานของทุกแบรนด์
และหากต้องการได้แรงบันดาลใจในการทำครีเอทีฟ ลองดูเพิ่มเติมกันได้ที่ Facebook Business Inspiration ในนี้ มีตัวอย่างการสร้างผลงานครีเอทีฟที่โดดเด่นหลายชิ้น พร้อมเรื่องราวและอินไซต์ต่างๆ ให้เรียนรู้
Facebook Business X Marketing Oops!
บทความ Exclusive นี้เผยแพร่บน Marketing Oops! เป็นที่แรก