นายเอียน ไพย์, บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กล่าวในโอกาสที่จะเกษียณจากตำแหน่งและมอบตำแหน่งให้ผู้บริหารคนใหม่ว่า จากนี้ไปบริษัทจะยังเดินหน้าขยายการลงทุนต่อเนื่อง โดยปีหน้าจะลงทุน 500-600 ล้านบาท ซึ่งลดจากปีนี้ทั้งปีที่ใช้งบฯลงทุนสูงถึง 1,000 ล้านบาท โดยงบฯดังกล่าวจะใช้เพื่อเปิดสาขาใหม่ 400 ล้านบาท ในการเปิดท็อปส์ มาร์เก็ต 3 สาขา Tops Super 2 สาขา และท็อปส์ เดลี่ 40 สาขา ส่วนอีก 200 ล้านบาท จะใช้เพื่อปรับปรุงสาขา 17 สาขา รวมถึงสาขาสุขุมวิท 19 และเซ็นทรัล ลาดพร้าว และจะปรับ Tops Market ที่เซ็นทรัล ภูเก็ต ให้เป็นเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์
สำหรับกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วบริษัทเปิดตัวโปรแกรม Spot Money Back ก่อนหน้าคู่แข่งรายอื่นๆ ที่มีแผนเปิดตัวลอยัลตี้โปรแกรมเหมือนกัน ด้วยการแจกคูปองเงินสดและส่วนลดมูลค่า 250 ล้านบาท เพื่อดึงลูกค้าให้กลับมาช็อปที่ท็อปส์ โดยเฉพาะลูกค้าท็อปสเปนเดอร์ที่มีอยู่มากกว่า 4 แสนคน เพื่อช่วยสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว ซึ่งวัดได้จากยอดซื้อที่มาจากลูกค้าสมาชิกที่มีสัดส่วน 82-83% จากยอดสมาชิกทั้งหมด 4.1 ล้านคน โดยท็อปส์จะมีการ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าทุกสัปดาห์เพื่อสร้างแผนงานรองรับ
“พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไปตั้งแต่ปลายปี แม้ว่าปีที่แล้วบริษัทจะเติบโต 8-9% แต่เมื่อดูยอดจริงๆ จะพบว่าลูกค้าชะลอการจับจ่ายลง และนิยมซื้อสินค้าราคาถูก ทำให้ปริมาณสินค้าที่ขายออกมีเพิ่มขึ้นแต่มูลค่ากลับน้อยลง”
ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก บริษัททำกำไรได้ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ กระทั่งเดือนพฤษภาคมที่ยอดขายเริ่มฟื้นตัว ทำให้ปัจจุบันมียอดขายเติบโตขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และหวังว่าไตรมาส 3-4 เป็นต้นไปผลประกอบการจะกลับมาดีขึ้น ตั้งเป้าตลอดทั้งปีจะมียอดขายเติบโต 5-6% หรือมีมาร์เก็ตแชร์ 8.6-10% ในเซ็กเมนต์ ซูเปอร์มาร์เก็ตไฮเปอร์มาร์เก็ต คิดเป็นมูลค่าราว 22,000 ล้านบาท ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะมียอดขาย 24,000 ล้านบาท
“ตั้งแต่ปี 2543-2546 เราขาดทุนมาตลอด เพิ่งจะมาเท่าทุนเมื่อปี 2547 และหลังจากนั้นก็เริ่มมีกำไร แต่กำไรก็เริ่มลดลงมาบ้างเมื่อปี 2549-2550 เนื่องจากมีการลงทุนมาก กระทั่งปี 2551 กำไรก็พุ่งขึ้น และคาดว่าตลอดปีนี้จนถึงปีหน้าบริษัทจะทำกำไรได้มากกว่าเดิม”
ด้านอลิสเตอร์ เทย์เลอร์ ว่าที่กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ ของ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทลฯ กล่าวว่า หลังเข้ารับตำแหน่งซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนเป็นต้นไป จะสานต่อวิสัยทัศน์เดิมของ นายเอียน ไพย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินค้า house brand หรือการจัดซื้อ แต่อาจมีการปรับกลยุทธ์บางส่วน โดยเฉพาะการเพิ่มระบบไอทีในแผนกจัดซื้อซึ่งจะช่วยให้ลูกค้า ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น และย่นระยะเวลาการทำงานระหว่างฝ่ายจัดซื้อกับซัพพลายเออร์
“เนื่องจากธุรกิจฟู้ดรีเทลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือคู่แข่ง แนวทางการทำงานของตนหลักๆ จะสปีดให้เร็วกว่าคู่แข่งและเป็นผู้นำอยู่ตลอดเวลา” นายอลิสเตอร์กล่าว