ทอล์กโชว์ล่าสุดของ Larry King กล่าวว่าสิ่งที่ผมเตือนตัวเองทุกเช้าคือสิ่งที่ผมพูดไม่ใช่สิ่งที่ผมเรียนรู้ ผมเรียนรู้ด้วยการฟังเท่านั้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารเชื่อว่าการฟังสร้างความสำเร็จดีกว่าการพูดแต่คนทั่วไปมักไม่ชอบฟังเพราะการฟังใช้พลังงานมากกว่าการพูดเยอะ อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาชีพเซลล์ขายสินค้า คุณจะสร้างความสัมพันธ์ได้ด้วยการฟังสิ่งที่พวกเขาพูด ถามคำถามที่เหมาะสมและใส่ใจกับคำตอบเพื่อให้ได้คอมมิชชั่นก้อนโต
เพราะมนุษย์ทุกคนชอบเป็นคนพิเศษ การฟังพวกเขาจะทำให้ลูกค้าคิดว่าคุณสนใจและเพิ่มโอกาสทำกำไรหรือขายสินค้าได้อีกโข ต่อไปนี้เป็นเทคนิคช่วยคุณฝึกการเป็นผู้ฟังที่ดี
1.ฟังอย่างตั้งใจสุดตัว
สบตาต่อเนื่องแต่ไม่จ้องตาให้กดดัน การตั้งสมาธิกับผู้พูดเป็นการแสดงว่าคุณพร้อมรับฟังสิ่งใหม่ พยักหน้า ยิ้มหรือถามคำถามหากต้องการความมั่นใจว่าเข้าใจถูกแล้ว วิธีการเหล่านี้จะทำให้ผู้พูดรู้สึกว่าคุณฟังอยู่ตลอดแต่อย่าทำมากเกินไปเพราะอาจทำให้ผู้พูดกดดัน
2.ยิ้ม
การยิ้มอย่างเต็มใจและสวยงามช่วยให้คนสบายใจ การยิ้มเป็นการแสดงออกว่าเราเข้าใจและสนใจสิ่งที่ได้ยิน การยิ้มระหว่างการสนทนาจะช่วยให้การสนทนายาวนานขึ้นได้ก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีต่อไป
3.เปิดรับและผ่อนคลาย
มนุษย์มีแน้วโน้มที่จะปิดตัวเองเมื่อรู้สึกไม่สบายใจหรือถูกข่มขู่ เราจะกอดอก ไขว้ขา หรือเอามือล้วงกระเป๋า พร้อมพยายามเอนตัวเองออกให้ไกลจากอีกฝ่าย
การแสดงออกนี้เป็นการแสดงว่าผู้ฟังกำลัง “ขาดการติดต่อ” จากผู้พูด Janine Driver ผู้เขียนหนังสือร่างกายของคุณพูดมากกว่าที่คุณคิดระบุว่า ตำแหน่งที่สะดือของเราหันไปนั้นสะท้อนทัศนคติและอารมณ์ในตอนนั้น หากเราหันร่างกายไปทางออกนั้นเป็นสัญญาณว่าคุณอยากเลิกสนทนาแล้ว
4.ระวังท่าทางกระวนกระวาย
ทุกคนรู้สึกเครียดเมื่อต้องสนทนาแต่หากคุณอยากเป็นมิตรกับทุกคน พยายามลดท่าทางกระวนกระวายใจลงซะหน่อยดีกว่า ความกระวนกระวายใจนั้นสามารถแสดงออกทั้งทางร่างกาย เครื่องแต่งกาย หรือแม้แต่สีของเครื่องประดับที่ใช้ พยายามพูดให้ชัดถ้อยชัดคำ อย่ากดปากกาเล่น ขยับเท้าบ่อยๆ กัดเล็บ และอื่นๆ ที่ทำให้บุคลิกของคุณไม่ดี
5.เริ่มติดต่อก่อน
หากคนที่คุณอยากติดต่อไม่พูดกับคุณจะทำอย่างไร? ก็เข้าไปพูดกับเขาก่อนเลยสิ การเข้าไปคุยก่อนเป็นการแสดงความมั่นใจและแสดงให้เห็นว่าคุณสนใจพวกเขาและเมื่อบทสนทนาเริ่มต้น พยายามพยักหน้า โฟกัสว่าพวกเขาพูดอะไรและอย่าแสดงอารมณ์มากนักเพราะคุณยังไม่แน่ใจว่าพวกเขาคิดอะไร
Source http://www.entrepreneur.com/article/252070