12 วิธี เพิ่ม Engagement ใน Facebook Page

  • 89
  •  
  •  
  •  
  •  

ตอนนี้ใครที่ทำ Facebook Page อยู่ คงกำลังประสบปัญหาเดียวกัน ทั้ง Organic Reach ที่หดหายไปเกินกว่าครึ่ง Engagement ก็ไม่ค่อยมี แล้วจะทำอย่างไรเพื่อทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น ปรับปรุงคอนเทนต์ เปลี่ยนเวลา หรือจ่ายเงินซื้อโฆษณาซะเลย

มาดู 12 วิธี ที่จะช่วยวางแผน และตัดสินใจเกี่ยวกลยุทธ์การทำคอนเทนต์บน Facebook ของคุณ

1. พัฒนาคุณภาพคอนเทนต์

แม้จะบอกว่าทำ Facebook Page เพื่อการค้า และหวังผลกำไร แต่คุณภาพของคอนเทนต์ก็สำคัญไม่แพ้กัน คนส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้นัก โพสคอนเทนต์ไปวันๆ นึกอยากโพสอะไรก็โพส ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า ลองพิจารณาดูว่าคอนเทนต์ที่โพสตรงกับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ มีประโยชน์ต่อหรือไม่ เน้นจะให้ความรู้ หรือให้ความสนุกสนาน

โดยรวมแล้ว ถ้าคุณรู้จักกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี คุณก็จะรู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร และคอนเทนต์แบบไหนที่จะโดนใจที่สุด

2. คนไลค์ ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง

ในช่วงแรกของการเปิดเพจ หลายคนก็จะเกณฑ์พ่อแม่พี่น้อง ญาติ หรือเพื่อนร่วมงานมาไลค์เพจ แม้จะเพิ่มยอดไลค์ให้เพจได้ แต่ Engagement ก็จะไม่สูงนัก เพราะคนที่มาไลค์ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเพจนั่นเอง ไม่ว่าคุณจะทำคอนเทนต์ดีแค่ไหน แต่ถ้าพวกเขาไม่ให้ความสนใจ คอนเทนต์ก็สูญเปล่า

3. ความถี่ในการโพส

จากการสำรวจรวของ locowise พบว่า ความถี่ของการโพสก็จะส่งผลกระทบต่อ Engagement เช่นกัน ซึ่งการโพสน้อยๆ หรือเว้นระยะหว่างของการโพส จะมี Engagement มากกว่า การโพสแบบติดกันรัวๆ

4. วันที่ดีที่สุด

วันที่ดีที่สุดในการโพส Facebook อย่าดูวันที่มีคนออนไลน์เยอะที่สุด เพราะมันก็เท่าๆ กันทุกวัน ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ให้ดูว่าวันไหนที่มีคนมา Like, Share และ Comment มากที่สุด ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละเพจ ลองค่อยๆ สำรวจดูว่า เพจคุณมี Engagement มากที่สุดในวันใด และเลือกโพสคอนเทนต์สำคัญๆ ในวันนั้น

5. เวลาที่ดีที่สุด

นอกจากต้องดูความถี่ และวันแล้ว เจาะลึกลงไปอีก “เวลา” คนส่วนใหญ่จะใช้ Social Media ระหว่างเดินทาง เช้าและเย็น ก็อาจมีบ้างที่เล่น Facebook ระหว่างทำงาน หรือก่อนเข้านอน คุณก็ต้องพิจารณาจากคอนเทนต์ที่ผ่านมาว่า ช่วงเวลาไหนที่ได้รับการตอบรับมากที่สุด ทว่า คุณไม่จำเป็นต้องดูย้อนหลังไปถึงโพสแรกก็ได้ ย้อนหลังซัก 1 สัปดาห์กำลังดี

6. ประเภทของคอนเทนต์

จากการสำรวจล่าสุดของ locowise พบว่า วิดีโอ เป็นคอนเทนต์ที่มี Engagement มากที่สุดถึง 26% ส่วนการโพสสเตตัสหรือข้อความ อยู่ที่ 5% เท่านั้น แล้วทีนี้คุณจะเลือกอะไรดี คงต้องขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ความชอบของกลุ่มเป้าหมายด้วย ลองใช้คอนเทนต์ทั้ง 2 ประเภท แล้วดูว่าคอนเทนต์ประเภทไหนได้รับความนิยมที่สุด

7. กำหนดกลุ่มเป้าหมายในแต่ละโพส

ในการโพสแต่ละครั้ง คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ โดยแบ่งตามเพศ สถานะ การศึกษา อายุ สถานที่ และความสนใจ ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

ถ้ายังไม่ได้ผล ก็คงต้องซื้อโฆษณาเพื่อโปรโมทคอนเทนต์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องซื้อทุกโพส อย่าเพิ่งมองว่าอะไรๆ ก็เสียเงิน แต่ให้มองว่าเป็นการลงทุนเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง

8. เขียนสิ่งที่ทุกคนชอบ

อาจมีคำถามว่า แล้วควรเขียนอะไร ต้องเป็นข้อความ ภาพ หรือวิดีโอ ต้องสั้นหรือยาว เน้นตลกหรือสาระ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของคุณ สิ่งสำคัญคือ คุณต้องรู้ว่าพวกเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร พวกเขาคือใคร และอะไรคือสิ่งที่ต้องการ คุณต้องใช้เวลาเพื่อหาข้อมูล และทดลองโพสคอนเทนต์ประเภทต่างๆ แล้วเลือกสิ่งที่ดีที่สุด

9. เลือกภาพที่น่าสนใจ

สามทหารเสือของคอนเทนต์ ข้อความ วิดีโอ และภาพ ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะใช้ภาพแบบไหนดี อันดับแรกคุณต้องแน่ใจเสียก่อนว่า ภาพที่ใช้จะมีขนาดที่เหมาะสม กับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน และเดสก์ท็อป ซึ่งภาพในนี้ที่ก็รวมถึง Infographic, คำคม, ภาพสัตว์น่ารักๆ เป็นต้น

10. คว้าใจของกลุ่มเป้าหมายด้วยวิดีโอ

จากการสำรวจของ locowise บอกว่า วิดีโอ เป็นคอนเทนต์ที่ดึงดูด Organic Reach และ Engagement ได้ดีที่สุด เมื่อคุณอัปโหลดวิดีโอบน Facebook แล้ว วิดีโอของคุณก็จะเป็นหนึ่งในหน้า News Feed ของผู้บริโภค คำถามคือ ทำอย่างไรให้พวกเขาดู แม้จะไม่มีการ Skip Ads เหมือนใน YouTube แต่ถ้าเนื้อหาไม่ดึงดูด ไม่น่าสนใจ พวกเขาก็พร้อมจะกดปิดทันที คุณจึงต้องให้ความสำคัญกับเนื้อหาอย่างมาก ต้องสร้างความตื่นเต้น สร้างอยากรู้อยากเห็นให้ได้ และนำเสนอประเด็นสำคัญตั้งแต่ช่วงวินาทีแรกๆ เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ได้เร็วที่สุด

11. ทดสอบ และทำให้เหมาะสม

ไม่มีใครทำถูกในครั้งแรก ในการทำธุรกิจก็เช่นกัน ต้องมีลองผิดลองถูกบ้าง การเข้าหากลุ่มเป้าหมายจึงต้องทำการทดสอบ และลองทำในสิ่งที่แตกต่างกันไป ทั้งวัน เวลา ความถี่ ประเภทของคอนเทนต์ คุณต้องทดลองทุกอย่าง เพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุด อย่าหยุดที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ

12. อย่าหยุดเรียนรู้

นักการตลาดทุกคนจะทราบกันดีว่า เราไม่สามารถหยุดนิ่งได้ Facebook เองก็มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง การผลิตคอนเทนต์ก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยเช่นกัน ไม่มีอะไรหยุดนิ่งอยู่กับที่ แม้ในอนาคตจะไม่มี Facebook ให้ใช้ แต่คุณก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป ค้นหากลยุทธ์การทำตลาดไปเรื่อยๆ

resource-facebook-er-infographic

แหล่งที่มา


  • 89
  •  
  •  
  •  
  •