บทความนี้เป็นบทความสัมภาษณ์เจ้าของและทีมงาน เฟซบุ๊คเพจ Ar-pae.com ซึ่งน้อยคนที่ชอบเรื่องท่องเที่ยวจะไม่รู้จักเพจนี้ เพราะเป็นที่คอยให้ข้อมูลอัพเดตเกี่ยวกับตั๋วเครื่องบินโปรโมชั่นอยู่เสมอๆ นอกจากเรื่องตั๋วโปรฯแล้วยังให้สาระสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เชื่อว่าหลายๆคนคงหมดเงินไปเป็นหลักหมื่นหลักแสนกับการไปเที่ยวเพราะอาแปะผู้นี้ ปัจจุบัน (มิ.ย. 2015) เพจ ar-pae.com มีแฟนติดตามอยู่ราว 375,000 คน ทางทีมงานได้รับเกียรติในการสัมภาษณ์ ar-pae.com ออกสื่อเป็นที่แรก ในบทสัมภาษณ์นี้จะนำไปทุกท่านไปรู้จักแนวคิดการสร้างเพจรวมถึงแง่คิดต่างๆที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวของคนไทย เชิญติดตามได้เลยครับ
จิบชา สนทนากับ อาแปะ
บ่ายวันอากาศร้อน เรานัดเจอกับ อาแปะ เจ้าของเพจ Ar-pae.com ในศูนย์การค้าย่านศาลาแดง ก่อนเริ่มสนทนา อาแปะ ออกตัวว่า ขออนุญาตไม่เปิดหน้า ด้วยเหตุผลบางประการ (คำตอบอยู่ในบทสนทนาด้านล่าง) แต่ยินดีที่จะเปิดหัวให้เราเข้าไปสำรวจ
“อยากถามอะไรถามเลยครับ ผมมีสิ่งที่อยู่ในหัวมากมาย อยู่ที่ว่าคุณจะเอาไปได้แค่ไหน”
หลายคนคงเดาไม่ออกว่า อาแปะ ตัวจริงหน้าตาเป็นเช่นไร เหมือนกับที่เราค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้พบกับเขา สิ่งที่เห็นเป็นมากกว่าที่เคยจินตนาการ อาแปะไม่ใช่อาแปะ แต่เป็นผู้ชายหน้าตาสะอาดที่มีหนวดประปราย นิ้วมือข้างหนึ่งมีแหวน BVLGARI ตัวเรือนสีทองและเพชรเม็ดใหญ่จนสะดุดตา ส่วนเสื้อผ้าที่ใส่ไม่ต่างอะไรกับหนุ่มออฟฟิศย่านสีลม
แต่หลังจากเริ่มสนทนาได้ไม่นาน เราก็ลืมเรื่องประหลาดใจที่ว่า เพราะสิ่งที่อาแปะพูด ทำให้เรา ‘ผิดคาด’ จากหลายสิ่งที่คิดไว้จนชาในจอกแทบลวกปาก!
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังเข้าใจว่า Ar-pae.com เป็นเพจที่เน้นนำเสนอตั๋วเครื่องบินราคาถูกเพียงอย่างเดียวเหมือนกับที่เราเคยเข้าใจล่ะก็
บอกได้คำเดียวว่า คุณกำลังเข้าใจผิดมหันต์!!!
อาแปะคือใครครับ?
เขาคือตัวละครที่ผมสมมุติขึ้นมาเท่านั้นเองครับ ถ้าให้นิยาม อาแปะ คือ ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ประสบการณ์เยอะมาก เยอะจนคิดว่าน่าจะเปิดโลกทัศน์ให้ใครๆได้ ผมมองว่าจริงๆ แล้วเรื่องการเดินทางเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญ ถ้าสังเกตกันเมื่อมีทริปทุกคนจะขยันอ่านหนังสือและรีบพยายามหาข้อมูลนู่นนี่นั่นเพื่อเวลาที่เดินทางแล้วจะได้ไม่หลง ทริปแพลนทำให้เรทติ้งการอ่านหนังสือเฉลี่ยเกิน 7 บรรทัดขึ้นไปทันที ซึ่งผมมองว่าการอ่านหนังสือเยอะๆนั้นมีประโยชน์ต่อคนไทย
จะทำเพจอะไรก็ได้ ทำไมถึงทำเพจเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว?
สารภาพเลยท่องเที่ยว มันคืองานอดิเรกของผมแค่นั้น ไม่ได้อะไรมากมาย แต่ดูเหมือนตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ลูกเพจเยอะมากขึ้น ยอมรับว่าตอนนี้เป็นเรื่องหนักและซีเรียสขึ้นทุกวัน ถามว่าอยากให้เป็นแบบนั้นไหม ผมไม่อยาก เพราะเมื่อไหร่ที่คนเยอะมากมันก็ยุ่ง ต่างจิตต่างใจต่างความเห็น แต่ว่าผมก็อยู่ในสภาวะจำยอม
ทำไมอาแปะสนใจเรื่องท่องเที่ยว ก่อนหน้านี้ทำอะไร?
ก่อนหน้านี้ผมทำเยอะมากครับ เริ่มตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ผมเป็นลูกเรือของสายการบิน ผมไม่ได้แคร์เรื่องอะไรของการเดินทางเลย แต่เมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมากขึ้น คุณก็จะเห็นอะไรมากขึ้นกว่าคนอื่นทันที มุมมองกว้างและชัดเจนขึ้น จุดนี้ผมอยากให้ทุกคนเห็นเหมือนกับที่ผมเห็น แต่ถามว่าจำเป็นต้องเป็นการท่องเที่ยวหรือเปล่า ไม่เลย ผมแค่ต้องการให้คนเปิดประสบการณ์ของตัวเอง โดยประเด็นท่องเที่ยวเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าคุณไปได้ ผมว่าคุณออกไปเหอะ โลกภายนอกมันมีอะไรรอเราอยู่อีกเยอะ
ไปมาแล้วกี่ประเทศ?
ผมทำอยู่หลายสายการบิน เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าไปกี่ประเทศจำไม่ได้แล้วแต่ครบทุกทวีปครับ ไม่เคยนั่งนับเป็นประเทศเลย
แปลว่า อาแปะเชื่อว่าการท่องเที่ยวช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ และช่วยยกระดับคนทั่วไป ก็เลยสร้างเพจนี้?
ใช่ครับ
อะไรทำให้อาแปะคิดแบบนั้น เพราะว่าคนทำงานสายนี้จำนวนหนึ่งก็ไม่ได้คิดอย่างอาแปะคิด มีอะไรเป็นจุดเปลี่ยน?
เขาคิดไม่ถึงหรือเปล่า ในจุดที่ผมเห็นกับคนอื่นเห็น มันไม่เท่ากันนะ อาจจะแตกต่างกันสิ้นเชิงเลยก็ได้
อาแปะไปเห็นอะไร?
ผมเห็นอะไร (นิ่งคิด) ความล้มเหลวทางความคิดของคนส่วนใหญ่ที่ไม่เคยมาร่วมกันก่อร่างประเทศไทยอย่างสร้างสรรค์ มีแต่อุดมการณ์แน่วแน่ มีแต่ความตึงไม่ยืดหยุ่น คุณเห็นไหมคนไทยทะเลาะรบราฆ่าฟันกันเพราะอะไร? เพราะมุมมองไม่ตรงกันแค่นั้นเอง ปัญหาทุกวันนี้เกิดจากอะไร ที่ทำให้เมืองไทยไม่ก้าวหน้าไปไหน ผู้คนก็ติดอยู่ในบ่วงวังวน ละครดราม่า และจะสะใจกันทุกครั้งเมื่อมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ‘เงิบ’ ฉันถีบเธอเธอถีบฉันอยู่แบบนี้ ทำไมเราไม่ลองมาร่วมมือทำอะไรด้วยกันล่ะ แล้วเดินหน้าไปพร้อมๆกัน ต้องคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพหน่อยได้ไหม
คุณเคยเห็นคนญี่ปุ่นแซงคิวกันไหม ทำไม (คนไทย) ไม่ทำแบบนั้น
แสดงว่าสิ่งนี้เป็นปัญหารบกวนจิตใจ
ใช่ครับ ผมรู้สึกแย่กับมุมมองของบางคนที่มองโลกในด้านเดียว เห็นแค่จุดเดียว แล้วบอกว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ชอบแล้ว ผมไม่เชื่อ ผมบอกว่า คุณลองมองไปข้างนอก ลองมองจากฝั่งตรงข้ามแล้วคุณจะรู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร แล้วค่อยมาตัดสินใจว่าสิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่น่ะอันไหนมันดีกว่ากันแน่ ทำไมไม่ลองมองโลกสองมุมก่อนที่จะสรุปมัน
ที่อาแปะพูดเหมือนจะเข้าเรื่องการเมือง
ไม่นะครับ ผมแค่มองเห็นภาพลักษณะนิสัยของคนยุคใหม่บางกลุ่มที่เป็นไปแบบนั้น ผมไม่ได้อ้างอิงบทบาททางการเมืองของใครเลย คุณจะสังเกตเห็นว่า ผมไม่ชอบวนอยู่ในดราม่าเวปไซด์ ผมไม่ชอบคำว่า ‘เงิบ’ ผมไม่ชอบการเถียงกันแบบไม่ฟังใคร ถ้าคุณบอกว่าโลกนี้เป็นโลกของดราม่า มันก็ใช่! โลกนี้เป็นโลกของดราม่าแต่คุณจะทำให้มันจมทับถมชีวิตอยู่แบบนั้นเหรอ
ขอสรุปอีกครั้งนะ อาแปะพอจะพูดได้ไหมว่า จากที่อาแปะพูดมาทั้งหมดทั้งมวล เออ มึงคิดเยอะ มองมุมมองด้านเดียว ไปเดินทางเถอะ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เปิดเพจ Ar-pae.com ขึ้นมา
ใช่ (ตอบทันที)
เซอร์ไพรส์มาก ไม่เคยคิดว่าอาแปะจะเปิดเพจเพราะเรื่องนี้
ผมรู้สึกว่าในเมืองไทยระบบการศึกษายังไม่ดีพอ สอนให้เราท่องจำ ทำอะไรตามๆ กัน แล้วเราก็เชื่อกันอยู่แค่นั้น ไม่เพิ่มเสริมอะไรได้มากกว่านี้ อันนี้คือเบื้องหลังจริงๆ ที่ผมเห็นแล้วรู้สึกเศร้าใจกับมุมมองอะไรหลายๆ อย่างที่มันเกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ ผมเลยมีความรู้สึกว่า ให้โอกาสพวกเค้าออกไปเห็นโลกภายนอกกันเถอะ เห็นโลกกันให้กว้าง แล้วมุมมองก็จะเปลี่ยนไปเอง
แล้ววันนี้เพจที่ทำขึ้นมา ตอบโจทย์ในสิ่งที่อาแปะอยากจะเปลี่ยนความคิดคนได้มากน้อยแค่ไหน?
ก้าวหน้าไปเยอะแล้วนะครับ คนที่เข้ามาหลายคนจะรู้เลยว่า ราคาที่สะดุดตามากๆเป็นแค่ปัจจัยรอง การสนับสนุนให้ออกไปดูโลกภายนอกแท้จริงมันคือปัจจัยหลักของผมต่างหาก
ถ้ามองสิ่งที่อาแปะทำ และสิ่งที่ลูกเพจสะท้อนกลับออกมา คือกำลังสะท้อนความต้องการของตลาดท่องเที่ยวหรือเปล่าว่า หลักๆ คนชอบของถูกที่สุด
ผมไม่เคยบอกใครนะว่าสิ่งที่ผมให้ไป มันคือของที่ถูกที่สุด ผมไม่เคยพูดแบบนั้นนะ
เพราะว่าเท่าที่ดูและสังเกต คนภายนอกมองว่าเพจ Ar-pae.com เป็นศูนย์รวมตั๋วราคาถูก
ไม่จริง ถูกคืออะไร ถูกคือถูกที่สุด ถูกยิ่งกว่าที่สุดมีอีกหรือเปล่าล่ะ?
งั้นเอาแบบนี้ การที่ อาแปะ นำเสนอ ตั๋วราคาพิเศษ ถือเป็นแทคติกอย่างหนึ่งที่จะกระตุ้นให้คนออกเดินทาง
ใช่ครับ เรื่องมันก็เท่านั้นเอง ลองนึกดูว่าสมมติมีเงินหนึ่งแสนบาทอยู่ในมือ ถ้าเป็นสมัยก่อน ก็อาจจะไปเห็นโลกได้แค่ประเทศเดียว อย่างไปลอนดอนแล้วก็จบ แต่หนึ่งแสนบาทสำหรับผมมันไปได้หลายแห่งกว่านั้นมาก อาจจะได้ฝรั่งเศส-สวิสแถมมาด้วย โลกนี้ยังมีเรื่องให้ค้นกันอีกแยะ มันเลยดูเหมือนผมตั้งใจจะปกปิดประเด็นไปเปิดโลกกว้างเอาไว้ด้วยของราคาถูกๆเท่านั้นเอง
เหมือนที่ อาแปะ อยากให้คนออกเดินทาง โดยไม่บอกตรงๆ ว่า มาออกเดินทางกันเถอะพวกเรา
ผมบอกแล้วใครจะเชื่อผม?
ผมพยายามคอนโทรลทุกสิ่งทุกอย่างให้มันเป็นไปได้ในสิ่งที่ควรจะเป็น อย่างในช่วงแรกผมพยายามบอกทุกคนให้ไปแค่สิงคโปร์ก่อน เพราะอะไร สิงคโปร์อยู่ในสเตจที่ไปไหนมาไหนไม่ยาก ใกล้บ้านเรา คนไทยปรับตัวได้ไม่ยาก อาหารใกล้เคียงกัน ราคาพอไหวถ้าคุณรู้จักที่กิน
ตอนนี้ผมพยายามจะปรับทุกคนให้เข้ามาอยู่ในสเตจที่สอง คือผมพยายามจะทำให้ทุกคนลองไปดูและใช้ชีวิตอยู่กับคนญี่ปุ่น ทำไมต้องคนญี่ปุ่น เพราะว่าคนญี่ปุ่นเขามีระเบียบวินัยในตัวเองค่อนข้างสูงคนไทยจะซึมซับข้อดีเหล่านี้ไปเอง ญี่ปุ่นเป็นเมืองที่ไปไหนมาไหนง่าย คนไทยไม่ลำบากหรอก คือ ผมต้องการให้เขาอยู่ในสเตจที่ไปซึมซับอะไรดีๆพวกนี้มาบ้างก็พอแล้ว
สำหรับปีหน้าผมจะทำอะไร ผมจะให้พวกเขาไปเรียนรู้เองในโลกที่กว้างขึ้น ไกลขึ้น เพราะมันจะให้มุมมองอีกแบบหนึ่ง คุณจะต้องรับผิดชอบชีวิตให้ได้ หลังจากสเตจญี่ปุ่นนี้ผ่านไปแล้ว ก็จะเข้าสู่โลกยุโรปที่มันไกลจากวิถีชีวิตของเราออกไปอีกซึ่งเราต้องปรับตัวแล้วเรียนรู้มัน
ผมว่าผมเริ่มสอนผู้คนด้วยการท่องเที่ยวนี่แหละ ผมไม่สามารถไปพูดปากเปียกปากแฉะเป็นเลคเชอร์การทำความดีได้ ผมจะบอกเขาเฉยๆ เช่นว่าเมืองโอซาก้าสวยมันน่าไปดูนะ ให้เขาไปเลือกทางเดินเอาเองเพราะผมไม่สามารถขีดเส้นให้ทุกคนเดินได้หมด ผมจะบอกแค่จุดเริ่มต้นและปลายทาง ระหว่างทางผมไม่บอกหรอก ธรรมชาติจะเติมเต็มประสบการณ์ให้พวกเขาเอง หลังจากที่ไปสัมผัสมาแล้ว พวกเขาจะได้นำมุมมองความคิดที่ได้นั้นมาพัฒนาประเทศชาติให้มันดีขึ้นกว่าทุกวันนี้
พูดเหมือนกับว่า เทรนด์การท่องเที่ยวเมื่อปีที่แล้วที่หลายๆ คน หรือแม้แต่คนรอบตัวไปสิงคโปร์ ส่วนหนึ่งถูกกำหนดโดยอาแปะ
ผมไม่รู้ผมกำหนดหรือเปล่า แต่ทุกครั้งก่อนที่ผมจะทำอะไร ผมต้องคิดก่อนเสมอ ทุกคนจะรู้ว่าผมเป็นคนคิดค่อนข้างจะเยอะ แล้วก็ศึกษากับมันให้ดีมากพอก่อนจะลงมือ แต่ถามว่าสเตจแต่ละอย่างที่ส่งไปปูพื้นให้นั้นทั้งสิงคโปร์ ทั้งญี่ปุ่นนั่นก็คือ มันมีนัยยะในตัวมันอยู่แล้วว่าจะต้องอะไรมาก่อน ต้องเริ่มจากอะไรคนไทยถึงจะกล้าออกไปหาประสบการณ์นอกบ้านด้วยตัวเอง
มองในมุมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาแปะ คิดว่าสิ่งที่อาแปะทำ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ติดนิสัยรอซื้อตั๋วราคาถูก ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไหม
เอาอย่างงี้นะ มันกระทบกันตรงๆ อยู่แล้ว จากเดิมที่เขาจำเป็นต้องซื้อทุกสิ่งทุกอย่างผ่านทั้งเอเจนซี่ตั๋วเครื่องบิน เอเจนซี่โรงแรม เอเจนซี่ทัวร์ แต่ผมดันมาบอกทุกคนว่า ไม่เป็นไร มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นแล้ว โลกเดี๋ยวนี้มันยุคใหม่ ลองไปด้วยตัวเองดูไหมถูกกว่าด้วย ลองใช้ชีวิตแบบนี้ดูดิ คุณลองหากินที่นี่ดิมันถูกกว่าตั้งเยอะอร่อยกว่าร้านทัวร์ลงด้วย ถามว่าเปลี่ยนไหม มันเปลี่ยนอยู่แล้วล่ะฮะ พฤติกรรมการซื้อของคนจะเปลี่ยนไป มันก็จริงไหมล่ะว่าคุณคือคนจ่าย ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาจูงจมูกเดินไหม แค่ไปเดินเที่ยวเมืองนอกผมว่าคุณคิดได้เองแหละ ว่าอยากจะไปไหน อยากจะทำอะไร มันจำเป็นไหมว่า ถ้าเราซื้อทัวร์ไปเมืองจีนตามรูปแบบเดิมแล้วจะต้องไปนั่งฟังคุณสมบัติของบัวหิมะ ต้องนอนนวดเท้า เสียเวลาทั้งวันเพื่ออะไร?
อาแปะกำลังรณรงค์ว่า อย่าไปซื้อทัวร์เลย แบคแพคดีกว่า?
ผมไม่ได้รณรงค์นะ แต่นี่เป็นประเด็นสำคัญที่ผมกำลังจะพูดถึงเลย เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่คุณไปเอง คุณเลือกทุกอย่างได้ ย้อนกลับมาว่ามันจะไปกระทบอุตสาหกรรมไหม กระทบแน่นอน เพราะจากเดิมแพคเกจที่ขายได้ มันก็จะขายไม่ได้ทันที
อะไรคือความน่าหงุดหงิดใจของระบบธุรกิจที่ต้องซื้อทัวร์?
มันไม่ได้น่าหงุดหงิดกับระบบเอเจนซี่นะครับ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมีกลุ่มฉวยโอกาสในกลุ่มทัวร์ดีๆอยู่เยอะ คุณจะไม่มีโอกาสรู้เลยว่าตกลงสิ่งที่คุณจ่ายเขาไป เช่น แพคเกจยุโรป 89,000 บาท เนี่ย คือค่าอะไรบ้าง ซื้อไปปุ๊บมีรายการแจง 1-2-3-4-5 บอกโปรแกรมมา วันนี้อยู่นี่ วันต่อมาไปนู่น แล้วคุณรู้ไหมว่าดีเทลมันเป็นอะไร ชะโงกแล้วจบหรือไม่? เป็นที่ๆตัวเองอยากไปไม๊ แพทเทิร์นมายังไงก็ต้องไปแบบนั้น ผมไม่อยากให้ทุกคนไปเที่ยวแบบค่ายลูกเสือ ทุกวันนี้ตั๋วบินไปยุโรปจ่ายแค่หมื่นกว่าบาท ที่เหลือเอาเงินไปถล่มกับอย่างอื่นแทนดีกว่าไหม กระเป๋า LV ฟรีอยากได้กันหรือเปล่า นั่นแหละครับ ถ้าถามว่าผมถล่มโดยตรงไหม ผมไม่ได้ถล่มโดยตรง แต่มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไปกระทบกับตัวเอเจนซี่เข้า ซึ่งเท่าที่ผมรู้มานะ มันกระทบแรงมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นมันจะมีรายได้ของคนบางส่วนหายไปแน่ๆ
แต่คนบางส่วนก็ยังเลือกซื้อแพคเกจเที่ยวในงานอย่าง ไทยเที่ยวไทย อยู่ อาแปะไม่ได้มองคนกลุ่มนี้หรือเปล่า
ไม่ใช่ไม่ได้ใส่ใจมองครับ คำถามกำลังหมายถึงงานท่องเที่ยวใช่ไหม ผมจะบอกให้ว่า มันไม่ได้มีดีทุกอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วมันก็ไม่ได้มีทุกอย่างเลวร้อยเปอร์เซ็นต์ มันมีของถูกแทรกอยู่ในนั้น ถามว่าผมซื้อไหม ผมก็ซื้อ แต่ทุกอย่างที่ทำคือต้องทำด้วยสติ มันควรไหมที่คุณจะเอาเงิน 89,000 ไปเลือกแพคเกจอย่างที่บอกตอนแรกเพื่อที่จะไปยุโรปแต่มันมีที่ๆคุณไม่ได้อยากจะไป หรือไปทัวร์เมืองจีนเราตัดรายการบัวหิมะเต็มวันทิ้งงไปได้ไม๊มันเสียเวลาเป็นครึ่งค่อนวัน หากเป็นไปได้ก็ควรจะเลือกตั๋วเครื่องบินไปด้วยตัวเองดีกว่า แล้วพยายามเลือกทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวคุณเองสุดท้ายแล้วมันก็จะได้ความภาคภูมิใจ ซึ่งมันใช้เวลาไม่ต่างกันเลยกับการที่คุณจะต้องไปนั่งส่องแพคเกจกระดาษ A4 ปึกเบ้อเร่อพวกนั้น ต้องพิสูจน์อักษรกันแบบละเอียดยิบ ต้องตีความภาษาไทยแปลเป็นไทยเพราะกลัวบริษัททัวร์บิดเบือน มันก็ใช้เวลาเท่ากันแหละถูกไหมครับ
ถ้าอาแปะจะแนะนำคนเหล่านี้ บริษัทเหล่านี้ อยากแนะนำอะไร
เอเจนซี่ก็ add value เข้าไปสิครับ ในเมื่อคนอื่นเขาทำให้ถูกลงได้ ระบบเดิมๆอย่างคุณจะยังคิดแพงอยู่ทำไม แต่ละส่วนประกอบราคามันก็ถูกลงมากแล้ว ก็ลดมาร์จิ้นลงไปหน่อยดิ add value เข้าไปให้มันสู้กันได้ตามกลไก จริงใจกับคนซื้อ ของพวกนี้ชื่อเสียงคือต้นทุนเก่าอยู่แล้ว แค่เติมสิ่งที่จะทำให้ลูกทัวร์รู้สึกว่าคุ้ม และปลอดภัยที่จะจ่าย แพคเกจทัวร์มันก็ขายได้ ถ้าทำของดีแล้วทำไมคนจะไม่ซื้อครับ ถ้าผมรู้ว่ามีของดีอยู่ที่ไหน ผมนี่แหละจะพาลูกเพจของผมไปถล่มสร้างกำไรให้บริษัทคุณแน่ๆ
ในความเป็นจริง เขาลดได้ใช่ไหม?
คุณคิดว่า ลดได้ไหมละ ผมยังมีความสามารถเอาตั๋วเครื่องบินไปยุโรปราคาหมื่นกว่าบาทออกมาได้เลย แล้วทำไมเขาต้องขาย 89,000 เท่าเดิมด้วยละ
ถึงเวลาแล้วที่คนในอุตสาหกรรมนี้ต้องเปลี่ยน
ผมว่าจริงๆ เขาจะต้องเปลี่ยนอะไรในบางจุดเท่านั้นนะ ผมไม่ได้แอนตี้เขานะครับ ผมก็ซื้อทัวร์แพคเกจเหมือนกัน แค่ฉลาดที่จะเลือกซื้อก็เท่านั้น
กำไรสูง margin สูง
#หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ 55555
ธุรกิจทุกอย่างก็มีต้นทุน มันต้องเป็นราคาที่อยู่ได้ แต่อย่างที่บอกคือ ตลาดทุกวันนี้มันไม่สามารถไปทำอะไรที่ไร้เหตุผลได้อีกต่อไปแล้ว ผู้คนฉลาดที่จะเลือกซื้อสินค้ามากขึ้น แม้แต่ตัวเลือกของแพคเกจทัวร์ต่างบริษัท ก็ยังหั่นราคากันเองจนต้องร้องขุ่นพระ!! ลำพังเขาหั่นราคาโต้กันเองนี่ก็น่ากลัวแล้วครับ
ถามจริงๆ อาแปะรู้ตัวเลขราคาตั๋วเครื่องบินมาจากไหน
ถ้าวันหนึ่งที่คุณตื่นมา แล้วพบว่าตัวคุณคือพีอาร์มาร์เก็ตติ้งคุณจะตรัสรู้เองเลย ไม่ว่าจะทำแคมเปญอะไรก็แล้วแต่ ทุกบริษัทจะวิ่งเข้ามาหาคุณครับ ของพวกนี้ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่งกล้าสามารถอะไรนะผมก็คนธรรมดานี่แหละ บางครั้งมันก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมและผลงานที่เคยทำมาเหมือนกัน แต่ทุกวันนี้พวกเขายินดีที่จะให้ข้อมูลทุกอย่างเพื่อให้คุณช่วยเขาให้เป็นหนึ่งในตลาดการค้า ทุกคนวิ่งหาผมนะ ทุกวันนี้ผมก็แค่เลือกสิ่งที่วิเศษที่สุดเพื่อ Follower ของผมครับ
อาแปะว่า social media กับการท่องเที่ยว เอื้อกันยังไง
เอาง่ายๆ เวลาคุณไปเมืองนอก คุณถือมือถือไปป่ะ
ถือ
นั่นไง ผมอยู่กับคุณทุกที่ Ar-pae.com อยู่กับคุณทุกที่นะ อัพเดทให้คุณตลอดเวลา เช่น คุณเดินอยู่ในโตเกียว Ar-pae.com บอกคุณว่า ณ วินาทีนั้น คุณอย่าไปฟูจิเลย เพราะระหว่างทางไปมีเหตุแผ่นดินไหวอะไรแบบนี้ ทุกอย่างอยู่ในมือ ผมสามารถส่งข้อมูลให้ทุกคนได้ตลอดเวลานะ ผมว่ายุคนี้ทุกอย่างต้องอัพเดท ต้องสด และใหม่เสมอ ยุคพิราบสื่อสารมันคงไม่พอหรอก
แล้วการที่คนหนึ่งไม่ค่อยเที่ยว คนหนึ่งเที่ยว อาแปะคิดว่าคนที่เที่ยวมากกว่าได้อะไร?
เขาจะฉลาดขึ้นทันทีอย่างเห็นได้ชัด
ฉลาดในด้านไหน?
คนที่เดินทางมามากจะมองเห็นอะไรมากกว่า โลกมีด้านอื่นๆด้วยที่เรามองผิวเผินก็จะยังมองไม่เห็น พวกเขาจะมีน้ำใจในการแบ่งปันเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันมากกว่าที่เคยเป็น เหล่านี้คือธรรมชาติของมนุษย์นะ เพราะเวลาที่อยู่เมืองนอกจริงๆคุณรู้หรือเปล่าครับว่าคุณจะเจอสภาวะที่กดดันรอบด้านแน่ๆเป็นเหมือนบทเรียนชีวิต ในที่สุดคุณก็จะปรับตัวผ่านไปได้เอง ถ้าคุณเอาแต่นอนอยู่กับบ้าน คุณก็ไม่ได้อะไรแบบนี้ป่ะ แต่ถ้าคุณลองออกไปบ้าง แค่ก้าวเดินออกจากบ้าน คุณก็ได้เห็นอะไรมากกว่าเพื่อนอยู่แล้ว แม้ว่าคุณจะคิดว่าไม่ได้อะไรเลยก็ตามเหอะ แต่มันได้โดยที่ยังไม่ทันจะรู้ตัวด้วยซ้ำ
แล้ว อาแปะ แล้วคิดยังไงกับหนังสือท่องเที่ยวแนว how to ที่บอกว่า ออกจากสนามบินจะเจออะไร ไปเมืองนี้ต้องไปที่ไหน คิดว่าคนที่ออกเดินทางตามหนังสือจะได้บทเรียน หรือได้อะไรใหม่ๆ มากกว่าในหนังสือหรือเปล่า?
ผมถึงพยายามออกไปเพื่อให้เป็นตัวอย่างไง พวกเค้าจะได้ไม่กลัวอะไรใหม่ๆ แล้วคุณก็เดินตามผมไปอย่างหลวมๆก็พอ มันไม่หลงหรอก ก่อนที่จะออกไปคุณก็ไม่ต้องไปเสียเวลากับการสร้าง how to คุณไม่จำเป็นต้องใช้มันท่องเป็นพระคัมภีร์ เดี๋ยวนี้ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมีทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงแค่คุณมีมือถือที่มันดีมากพอที่จะบันทึกอะไรก็แล้วแต่ลงไปได้ก็พอแล้ว นั่นคือสิ่งที่ควรทำนะ
เออ ผมมีเรื่องจะบอก อันนี้ไม่ค่อยมีคนรู้ เวลาผมจะไปทริปที่ไหนก็แล้วแต่ผมไม่เคยมีทริปแพลนนะ ไม่เคยวางแผนมากมาย ผมรู้แค่ว่าวันนี้ผมอยู่โอซาก้าแล้วผมอยากไปนารา ผมรู้แค่นั้น ส่วนที่เหลือคือการศึกษาเอาเองของผม มันขึ้นกับแต่ละคนครับว่าจะไปยังไงให้ถึง สิ่งนี้คือ บทเรียนชีวิตที่มีค่า แต่ how to ไม่ใช่บทเรียนนะ มันคือพระคัมภีร์เสริมความมั่นใจแต่ก็จะไม่ได้อะไรมากมาย
การจะได้บทเรียนจากการเดินทางไม่สามารถเกิดได้ถ้าเดินทางแบบ how to ไม่ว่าจะไปกับทัวร์ หรือไปตามหนังสือ หรือแม้กระทั่งทำการบ้านก่อนไปเที่ยวด้วยตัวเองใช่ไหม?
ทำการค้นคว้าสมควรทำครับ แต่ค้นคว้ากับพระคัมภีร์ไม่เหมือนกันนะ เราจะได้อะไรจากการค้นคว้าหาข้อมูล อย่างน้อยเราได้อ่านหนังสือ สมมุติกรณีล่าสุดของตัวผมเองเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมไปฮาโกดาเตะ ผมไม่รู้เรื่องไรซักอย่างแต่ก็มีในหัวแล้วเหมือนกันว่าจะต้องไปไหนอันนี้ต้องศึกษาทำความเข้าใจกับมัน สมมติคุณมีแพลนอยู่แล้ว แต่มันหลุด จะทำยังไง แก้ปัญหาให้ตัวเองได้ไหมตรงนี้ต่างหากที่จะกลายไปเป็นบทเรียนทำให้เราจดจำสิ่งต่างๆรอบตัวได้ บทเรียนแบบนี้มีค่ามากผมพยายามจะเพิ่ม skill ตรงนี้ให้กับคนทั่วๆไป ผมเชื่อว่าธรรมชาติของคนเราจะคิดเองและเดินไปหาจุดหมายได้เองแบบออโต้ครับ ดังนั้นผมจะไม่ไปนั่งไกด์ใครเด็ดขาด ว่าฉันจะต้องเตรียมอะไรบ้าง 1-2-3-4 ออกจากซับเวย์แล้วต้องเดินไป 30 เมตร เลี้ยวซ้ายเจอไฟแดง มันเปลืองพื้นที่สมองครับ สมัยนี้พวกเรามี GPS ติดอยู่กับมือถือแล้ว
แต่สำหรับคนไทยเป็นคนสบายๆ ชอบอยู่ใน comfort zone คงไม่ง่ายที่จะลุกให้ไปเจอสถานการณ์ที่ต้องใช้ทักษะการเอาตัวรอดที่ต่างประเทศ ซึ่งคนไทยส่วนมากไม่น่าจะพร้อม
คนไทยไม่พร้อม แล้วคุณจะเปิด AEC ไปทำไม คุณคิดว่าเมืองไทยจะเจริญก้าวหน้าจาก AEC กันไหมถ้าคนของเรายังไม่พร้อม หรือเมืองไทยจะแย่ลงหลังเปิด คุณมีคำตอบในตัวเองทุกคนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าไม่พร้อมจริงๆ คุณจะเอาตัวรอดในตลาดที่ใหญ่ขึ้นได้เหรอ ถ้าแค่เรื่องขึ้นรถลงเรือคุณยังทำไม่ได้ คุณคิดว่าจะแก้ไขมันยังไง ผมไม่ได้ต้องการเขียนพระคัมภีร์ไบเบิลหรือต้องการเขียนบทพูด ผมต้องการแค่ออกไปเถอะแล้วแก้ปัญหาให้ได้ก็จบ สนุกดีด้วยที่มีโอกาสได้ใช้ความคิด เหมือนอย่างที่ผมไปใครถามว่าหลงไหม ผมหลงสะบัด แล้วยังไง หลงแล้วคุณจะรู้ไหม ต้องหาทางแก้กันไป ซึ่งของพวกนี้เป็นบทเรียนที่คุณจะได้ โดยที่คุณไม่ต้องไปถือหนังสือเดินตามรอยเท้าใคร
ตั้งแต่ทำเพจมา มีเรื่องประทับใจที่ลูกเพจกลับมาบอกอาแปะบ้างไหม?
เยอะมากครับ ผมแทบน้ำตาไหลทุกครั้งที่เห็น
ขอสักหนึ่งเรื่อง
มีคนขายแรงงานที่เขาอยู่ต่างประเทศ แล้วเขาก็ไม่เคยได้กลับบ้านเลย ไม่มีความสามารถที่จะซื้อตั๋วได้เองจากเม็ดเงินที่เขามีอยู่ เขาจำเป็นจะต้องส่งเงินที่เขามีทั้งหมดเลี้ยงลูกและแม่ที่ไม่สบาย ทันทีที่ผมส่งโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินราคา 5,000 บาทลงไป น้ำตาเขาแทบไหล เพราะเขาได้โอกาสที่จะกลับบ้านไปเยี่ยมแม่ที่กำลังไม่สบาย ซึ่งไม่รู้ว่าจะเสียเมื่อไหร่ และมีโอกาสได้พบหน้าลูกที่ไม่เคยได้พบเลย ผมเป็นแค่แหล่งข่าวธรรมดาแต่หลังจากที่ผมได้รับจดหมายฉบับนี้ ผมอ่าน ผมซึ้ง และมันมีเคสแบบนี้เกิดขึ้นเยอะมากจากหลังไมค์ในทุกวันนี้
บางคนออกเดินทางไปตามหาความหมายบางอย่าง บางคนออกไปตามหาความหมายชีวิต แล้วหนังสือท่องเที่ยวหลายเล่มก็มักจะมีกลิ่นของบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ระหว่างทาง ในฐานะที่ อาแปะเดินทางมาเยอะ พอจะอธิบายได้ไหมว่า ชีวิตคืออะไร?
(นิ่งคิดอยู่พักใหญ่) ชีวิต คือ การแบ่งปันและการทำความดี เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าปัญญาอ่อนน่ะ ทำไมนางงามต้องตอบว่า สิ่งแรกที่เค้าจะขอให้โลกมีก็คือ world peace ไร้สาระมาก แต่สุดท้ายแล้วถามว่าอะไรที่มันดูสงบสุขที่สุด การแบ่งปันกัน คิดถึงคนอื่นบ้าง และการทำความดีใช่ไหมล่ะ คุณจะทำให้โลกนี้ดีขึ้นงดงามขึ้นทันที ถ้าคุณรู้จักเพียงแค่การแบ่งปัน ผมมีมากผมก็ให้ เคยได้ยินเศรษฐีในเมืองไทยพูดไหมว่า เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่คุณเริ่มให้ นั่นแปลว่าคุณจะได้ การที่คุณอยากจะรวยไม่ได้เกิดจากการประหยัดหรือเกิดจากการหาเงินเคร่งเครียด แต่เกิดจากการให้ ยิ่งให้ยิ่งได้ มันเป็นเรื่องแปลกที่ผมไม่เคยเชื่อมาตลอด แต่ท้ายสุดมันก็เป็นเรื่องจริง ยิ่งคุณให้คุณจะยิ่งได้ โลกแห่งน้ำใจมีจริงเสมอไม่ว่าคุณจะมองว่าโลกใบนี้สวยหรือเปล่า แต่มันคือสิ่งที่ควรทำ
ถ้าให้พูดหนึ่งประโยคกับคนที่ปิดตัวเองไม่ยอมไปเดินทาง อาแปะ อยากบอกอะไร?
ผมจะบอกเขาว่า ในห้องนอนนั้นคุณเห็นว่าหมอนมันสวยกว่าทะเลไหม ถ้าคุณยังเห็นหมอนสวยงามกว่าทะเลและหาดทราย ก็จงนอนต่อไปเหอะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่คุณเห็นว่าทะเลสวยกว่า ผมคงไม่ต้องบอกคุณใช่ไหมว่า ต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้คุณเห็นทะเล