“don’t Think but Feel…”
คือคำพูดจากรุ่นพี่ของผมคนหนึ่ง ที่สอนให้ผมรู้จักใช้ ‘ความรู้สึก’ ให้เยอะๆ…ใช้ให้เยอะมากกว่าคำว่า ‘เหตุผล’
การตลาดในทุกวันนี้ ล้วนแต่เป็นงานที่สร้างสรรค์ ครีเอทีฟสุดโต่งกันเกือบทั้งนั้น ต้องผ่านการคิดกันจนเลือดตาแทบกระเด็นเลยทีเดียว ทุกวันนี้ไอเดียจากนักการตลาดหลายคนถูกนำมาฟาดฟันกันบนชิ้นงาน ถึงแม้หลายครั้งมันดูเหมือนจะเป็นงานศิลปะ แต่ความครีเอทีฟในงานการตลาดนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมีทั้ง ‘ความเป็นศิลป์’ และ ‘ความเป็นพาณิช’ ควบคู่กันไป
และนี่คือ 3 กลเม็ด ในการปลุกต่อมความคิดสร้างสรรค์ ที่อิสระจากคำว่า ‘เหตุผล’ ครับ
ลืมทฤษฏีที่เคยเรียนมาทั้งหมด
ปัญหาหลักที่เป็นอุปสรรค ไม่ว่าเราจะคิดค้นสินค้า หรือบริการใหม่ๆ ไปจนถึงกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ๆ สิ่งที่เรามักจะคิดโดยอัตโนมัติก็คือ…การนำทฤษฎีที่เคยเรียนรู้มาทั้งหมด มาเป็นจุดเริ่มต้นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แค่เริ่มต้นคิดก็ผิดแล้วครับ เพราะเราจะคิดค้นอะไรใหม่ๆได้อย่างไร ในเมื่อความคิดของเรายังยึดติดกับทฤษฎีอยู่ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ใครเขาก็รู้ ใครเขาก็ทำ เพราะอาจได้เรียนได้ฝึกวิชามาเหมือนๆกัน แล้วอะไรคือความคิดสร้างสรรค์? เพราะสิ่งที่เราคิดก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่เดิมเลย
don’t Think but Feel
หลายคนหลงหูหลงตาเข้าใจผิด แอบคิดว่า “กำลังใช้ความคิดสร้างสรรค์” อยู่ แต่ทุกขณะที่เราคิด เราอาจใช้เหตุใช้ผลไปในทุกวินาทีของการคิด ใช้สมองซีกซ้ายที่คิดในเชิงวิเคราะห์มาเป็นตัวนำ ในคราวเดียวกัน, เราใช้สมองซีกขวาที่ใช้คิดในเชิงสร้างสรรค์เพียงเล็กน้อย แล้วความคิดที่แปลกใหม่จะเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะครับ? รักหัวใจของเราให้มากๆ…เพราะมันไม่เคยถูกควบคุมด้วยหัวสมองเลย
อิสระสร้างสรรค์
บ่อยครั้งที่เราพยายามคิดสิ่งใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งคิดแก้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ โดยคิดในสภาพแวดล้อมแบบเดิมๆ ในห้องประชุมบ้าง บนโต๊ะทำงานบ้าง เราพบว่ามันมักจะไม่ค่อยพบทางออก หรือไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์เสียเท่าไหร่ แต่พอถึงวันที่เราพักผ่อนในมุมที่โปรดปราน ความคิดสร้างสรรค์กลับผุดขึ้นมาอย่างง่ายดาย แบบไม่มีเหตุผล เพราะในช่วงเวลานั้น จิตของเราเป็นอิสระ…ความคิดของเราจึงเปิดกว้าง
จำไว้เสมอว่า…ความคิดสร้างสรรค์ เปิดทางให้ความเป็นไปได้เสมอ อย่าหยุดสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กันนะครับ
อนึ่ง, ไม่ว่าจะทำสิ่งใด จงใช้หัวใจของเราสัมผัสเสมอ…แล้วสิ่งนั้นจะสื่อสารกับเราเอง