“อยากได้ยินเสียงเธอจัง…”
ข้อความสั้นๆในไลน์จากหญิงสาวคนหนึ่ง ทำเอาผมต้องผละมือออกจากสมาร์ทโฟน และอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า “นั่นน่ะสิ! ทำไมเราถึงไม่ใช้น้ำเสียงพูดคุยกัน” ก้มลงสำรวจตัวเองและคนรอบข้าง จึงทำให้ผมสามารถปะติดปะต่อได้คร่าวๆว่า…เพราะยุคสมัยที่ผันผ่านไป ทำให้เราเสพติด ‘ความโรแมนติกของระยะห่าง’ เช่นกันกับที่เราเคยเห็นความสวยงามของความเหงา นั่นเอง
สิ่งอำนวยความ ‘สันโดษ’
‘MSN’ เหมือนเป็นช่องทางการสื่อสารแรกๆ ที่ทำให้ใครหลายคนรู้จักการ Chat ยุคที่เปลี่ยนจากการโทรคุยมาเป็นพิมพ์คุย…จึงทำให้ดูส่วนตัวมากขึ้น สิ่งที่เราบรรจงประดิษฐ์อักษรพิมพ์คุยกันก็ถูกบันทึกเอาไว้ได้ด้วยเช่นกัน ทักไปไม่ว่าง…เราก็ไม่ต้องตอบ ว่างๆค่อยมาตอบก็ยังได้ ไม่ดูเป็นการรบกวนเหมือนการโทรที่จะต้องหยุดทุกกิจกรรมเพื่อมานั่งคุยกัน…
แต่ MSN ก็ยังมีข้อจำกัดตรงที่…ไอ่คนที่เราจะคุยด้วยต้องมานั่งหน้าคอมฯพร้อมๆกัน บางทีจะจีบใครก็ต้องไหว้วานเพื่อนที่ขยันออนทั้งวัน คอยเป็นหูเป็นตาให้เราว่าคนๆนั้นออนแล้วหรือยัง? พอออนปุ๊ป! เราก็รีบเปิดคอมฯเด้งออนไลน์ตามเข้ามาติดๆ อย่างไรก็ตาม MSN ก็คงยังไม่เพียงพอที่จะเบ็ดเสร็จนำพาไปถึงขั้นเจอกันได้ ยังไงก็ต้องมีการโทรนัดกัน โทรถามกัน…ถึงวันที่จะออกเดทอยู่ดี
ทุกวันนี้เราสามารถแชทได้ทุกที่ไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลก หรือทำอะไรอยู่ก็ตาม เมื่อมีคนทักมาเราก็สามารถตอบกลับไปได้อย่างฉับไว ทุกอย่างดูจะสะดวกสบายไปเสียเกือบหมด บางรายการนัดเจอกันอาจไม่ต้องพึ่งการโทรอีกเลย จนบางครั้งเราหลงลืมบางสิ่งบางอย่างที่เคยคลาสสิคไป สิ่งที่ถูกกลืนหายไปกับกาลเวลาของยุคนี้ คือ ‘น้ำเสียง’
พิพิธภัณฑ์เสียง…พิพิธภัณฑ์ ‘ของหาย’
‘น้ำเสียง‘ เป็นตัวส่งผ่านความรู้สึก และถ้อยคำที่ดีที่สุด น้ำเสียงในทุกวันนี้ถูกแสดงผ่านอีโมชั่น หรือ สติ๊กเกอร์บ้าๆบอๆ…ที่บางทีก็ไม่รู้ว่า ไอคนส่งมันจะรู้สึกอย่างนั้นจริงไหม หรือแค่กดไปกดมาอย่างงั้น เพราะโหลดฟรี! และอยากเล่น! ยิ่งไปกว่านั้นการหยอกล้อกัน การแซวกัน ถ้าขาดซึ่งน้ำเสียง อาจหลงหูหลงตาเข้าใจผิด นึกว่าชวนตีชวนตบกันเลยทีเดียว ที่ร้ายกาจที่สุดคือ…การแชทสามารถทำได้ทีละหลายๆคน เพราะมีช่วงเวลาที่รออีกฝ่ายตอบกลับ จึงสามารถไปคุยกับคนอื่นๆได้ ทำให้เราดูแลเทคแคร์ และให้คำปรึกษากับใครๆได้อีกหลายต่อหลายคนในเวลาเดียวกัน และบางครั้งมันก็กัดกินเวลาของเรา…เวลาที่จะคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มลดลง
ภาพลวง ‘ใจ’
ระยะห่างนำมาซึ่งความโรแมนติก และบางทีการไปถึงคือการทำลายความสวยงามนั้นในตัวมันเอง ดังเช่น การมองดวงจันทร์แสงนวลบนพื้นโลก กับการไปถึงดวงจันทร์แล้วเห็นพื้นผิวขรุขระ…
เดี๋ยวนี้, เรากลับไปคุย ไปแคร์ กับคนที่อยู่ไกลมากกว่าคนที่กำลังนั่งรออยู่ตรงหน้าเสียอีก เราสบตากับหน้าจอ มากกว่า ‘ดวงตา’ ที่กำลังมองมาที่เรา เราหัวเราะชอบใจกับสติ๊กเกอร์ของใครต่อใคร มากกว่า…มุขตลกของคนฝั่งตรงข้าม
ขอให้ความสะดวกสบายของเทคโนโลยีนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ ‘การทำความรู้จักกัน’ นั้นง่ายขึ้น แต่ก็ต้องไม่ลืมความสำคัญของ ‘น้ำเสียง’ และการเติมเต็มด้วย ‘การกระทำ’ เมื่อยามพบปะ สิ่งเหล่านี้จะช่วยทะลายกำแพงแห่งความรู้สึก ทำให้คนสองคนเปิดใจ และหลอมรวมเข้าไว้ด้วยกัน เมื่อนั้นแล้ว…อะไรก็ฉุดไม่อยู่!
อนึ่ง, เหนือกว่าการแชท คือ การโทร…เหนือกว่าการโทร คือ การได้มองตากัน
ข้อมูลประกอบจาก: นิตยสาร Mellow Magazine