คุณพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเพรสซิเดนฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา “มาม่า” เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทยปี 2557 ที่มีมูลค่ากว่า 15,400 ล้านบาท เติบโต 1.4% ถือว่าต่ำสุดในรอบ 42 ปี ที่บริษัททำตลาดมา โดยปี 2556 เติบโต 7.5% บะหมี่ประเภทซองยอดขายโดยรวมทรงตัว ขณะที่ประเภทถ้วยเติบโตลดลง จาก 21.7% ในปี 2556 เหลือเติบโต เพียงแค่ 7.95% ในปีนี้
แต่อย่างไรก็ตาม มาม่ายังเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ทั้งแบบซองและแบบถ้วย ด้วยส่วนแบ่งตลาด 50.25% แม้ปีนี้ยอดขายรวมของบริษัทจะเติบโตต่ำสุดในรอบ 42 ปีที่ทำธุรกิจมา โดยทำรายได้รวมกว่า 10,186 ล้านบาท เติบโต 0.2% ก็ตาม โดยสาเหตุหลักมาจากยอดขายในประเทศติดลบ 1% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับราคาพืชผลทางการเกษตรยังตกต่ำ จึงฉุดให้กำลังซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรากหญ้าหรือระดับล่างมีลดลง
“ในอดีตเศรษฐกิจไม่ดีมาม่าจะขายดี แต่ปีนี้เศรษฐกิจมันแย่จนถึงขนาดคนไม่มีเงินจะซื้อมาม่ากิน ทำให้ยอดขายร่วงทั้งแบบซองและแบบถ้วย โดยมาม่าซองไม่เติบโตเลย ขณะที่มาม่าคัพ ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีรายได้ระดับกลางขึ้นไปเติบโตน้อยลง ทั้งที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เทรนด์การบริโภคมาม่าคัพมาแรงมาก และเติบโตในระดับสองหลัก ด้วยไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ชอบความสะดวกสบาย แต่เวลานี้คนซื้อบริโภคลดลงด้วย”
โดยเมื่อวันนี้ 5 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา คุณพิพัฒ ได้เผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2558 ว่า ทางบริษัทฯ มีแนวทางขยายธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อดันยอดขาย และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับผู้บริโภคที่มองหาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมียมมากขึ้น และมีเป้าหมายดันยอดรายได้รวมบริษัท ให้เติบโตเป็นเท่าตัว หรือแตะ 20,000 ล้านบาท ภายใน 10 ปีนับจากนี้
ตอนนี้บริษัทฯ กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับพันธมิตรจากต่างประเทศหลายราย เพื่อดึงมาร่วมทุน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการเครือข่ายร้านอาหารญี่ปุ่น ยุโรป เชื้อชาติแขก รวมถึงนักลงทุนในไทย ส่วนโมเดลธุรกิจร้านอาหาร อาจจะยกรูปแบบร้านอาหารญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาดในไทย และเมนูอาหารก็ต้องมาจากบะหมี่ เนื่องจากการสำรวจพบว่า “ฮะจิบัง” เป็นแบรนด์ที่ขายในไทยและมีสาขาอยู่ในศูนย์การค้ามากที่สุด ส่วนก่อนหน้านี้บริษัทเคยทดลองเปิดร้านอาหารโดยมีเมนูยำจากเส้นมาม่า ภายในงานสหกรุ๊ป แฟร์ แต่ก็ยังไม่ลงตัว
ในส่วนของธุรกิจเครื่องดื่ม ที่ตอนนี้มีสัดส่วนตลาดใหญ่กว่าบะหมี่ แต่ทั้งนี้ เราคงไม่ไปแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างสิงห์และช้าง เพราะต้นทุนเราต่ำมาก รวมถึงเครื่องดื่มพวกชาเขียวด้วย ที่แต่ก่อนมีชาเขียวพร้อมดื่มในตลาดกว่า 30 แบรนด์ แต่ตอนนี้มีหลัก ๆ แค่ 2 แบรนด์เท่านั้น คือ โออิชิและอิชิตัน เลยเตรียมหารือกับพันธมิตรต่างชาติที่เป็นยุโรปในส่วนของธุรกิจเครื่องดื่มต่อไป ส่วนร้านอาหารญี่ปุ่นหากเปิดให้บริการสาขาแรก คงลงุทนไม่มากนักน่าจะอยู่ที่ระดับ 10 ล้านบาท คุณพิพัฒ กล่าวทิ้งท้าย