Don’t confuse having a career with having a life. – Hillary Clinton
เป็นหนึ่งปรัชญาการทำงานของอดีตสตรีหมายเลข 1 และอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งให้แง่คิดที่ดีว่า “อย่าอยู่เพื่องาน แต่จงทำงานเพื่ออยู่!”
ปรัชญาที่ว่านี้ก็คือ แนวทางการทำงานแบบ Work Life Balance ซึ่งขณะนี้นักธุรกิจชั้นนำทั่วโลก ต่างหันมาสนใจในปรัชญาที่ว่านี้พร้อมกับค้นพบว่ามันนำไปสู่ความสำเร็จในการทำงานได้จริง
“ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ASSET เป็นหนึ่งในผู้บริหารหนุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เล็งเห็นว่า แนวทาง Work Life Balance สามารถทำให้งานบรรลุเป้าหมายได้ และยังส่งผลต่อ profit ที่ดีขององค์กรอีกด้วย จึงเป็นที่มาของการ Re-New ออฟฟิศใหม่ พร้อมเปิดโซนให้กับ Social Club พื้นที่สันทนาการ เพื่อให้พนักงานได้ผ่อนคลายและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่แข็งแรง
“ณัฐพงศ์” อาสาเป็นไกด์กิตติมศักดิ์ พานำทัวร์ Social Club ซึ่งมีพื้นที่ราว 1,143 ตารางเมตร ทุ่มทุนสร้างกว่า 20 ล้านบาท โดยมีทั้งส่วนที่เป็นโซนออกกำลังกายและมุมนั่งเล่นด้วย
ขณะเดินพาทัวร์ “ณัฐพงศ์” ค่อยๆ เล่าถึงแนวคิด Social Club ว่า ที่ตั้งชื่อนี้เพราะต้องการให้เป็นกิมมิกของคำว่า SC ซึ่งตรงกับชื่อบริษัทของเรา (SC ASSET) สำหรับพื้นที่ต่างๆ จะแบ่งเป็นส่วนของสนามแบตมินตัน ห้องยิมขนาดย่อม ชั้นลอยสองฝั่งซึ่งยังไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจะทำอะไร อาจจะเป็นโยคะหรือปิงปอง มีโต๊ะพูลและยังมีห้องคาราโอเกะอีกด้วย
“เอาไว้เวลาที่พนักงานโดนผมดุ ก็มาปล่อยอารมณ์ร้องเพลงที่นี่ได้” ปล่อยมุกกันแบบสดๆ
นอกจากนี้ ภายใน Social Club ยังมีมินิบาร์ขนาดเล็ก พร้อมโต๊ะนั่งรับประทานอาหารในแบบสบายๆ ซึ่ง “ณัฐพงศ์” กล่าวว่า เหมาะสำหรับนั่งประชุมแบบไม่เป็นทางการหรือการพูดคุยกันทั่วไป
หลังจากนำเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ แล้วก็เปิดบทสนทนาคุยแบบสบายๆ ถึงแนวคิดในการทำงานแบบ Work Life Balance ที่จะนำมาใช้ในการบริหาร SC ASSET บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้า “ณัฐพงศ์” เล่าว่า ที่มาของ Social Club มาจากนโยบายที่จะทำให้บริษัทเติบโตแบบยั่งยืน คำสั้นๆ แต่ยากมาก จึงเกิดความคิดว่าน่าจะทำ workshop กับทีมงาน โดยตั้งโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้ SC ASSET โตได้ในอีก 100 ปี
“ผมให้ทุกแผนกเข้ามาคุยกัน ในบรรยากาศที่ไม่ใช่การประชุมอย่างเป็นทางการ คือไปคุยกันที่คอนโดของผม มีคนหนึ่งตอบมาได้อย่างน่าสนใจว่า ถ้าจะทำให้บริษัทเติบโต จะต้องให้เป็นบริษัทที่น่าทำงานก่อน ซึ่งผมว่ามันดีมากเลย คือทำอย่างไรให้พนักงานรู้สึกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้น คำถามว่าจะทำอย่างไรให้บริษัทอยู่ได้อีกเป็น 100 ปี ก็จะต้องมีเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ดี ดังนั้น พนักงานจะต้องมี satisfied ที่ดีด้วย มันจะแปรออกมาเป็นทั้งวัฒนธรรมองค์กรและผลกำไรขององค์กรด้วย จึงกลับมาที่การสร้างบรรยากศในการทำงานให้ดี ในเมื่อเราต้องอยู่ในออฟฟิศมากกว่า 50% ของชีวิต ก็ควรจะทำสถานที่ทำงานให้น่าอยู่ขึ้น”
นอกจากเรื่องของการสร้างแรงจูงใจในการทำงานแล้ว “ณัฐพงศ์” ยังมองเห็นช่องว่างระหว่างวัยในที่ทำงานด้วย จึงเป็นโจทย์ที่เขาต้องแก้ว่าทำอย่างไรให้คน 2-3 ยุค สามารถทำงานร่วมกันได้
ผู้บริหารหนุ่ม กล่าวว่า อีกประการหนึ่งที่ตนมองคือ เราเจอปัญหาของคน Generation Y (Gen Y) ที่ตอนนี้บริษัทหลายแห่งมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น อย่าง SC ASSET มีคนยุค Gen Y มากขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่าของพนักงานที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น วัฒนธรรมและวิธีการทำงานจึงไม่เหมือนเดิม มีข้อมูลที่ตนพบมาระบุว่า อนาคตบริษัทในเมืองไทยปี 2016 พนักงานที่เป็น Gen Y จะเพิ่มขึ้น 80% โดยคาดว่า SC ASSET น่าจะเพิ่มขึ้นถึง 86% และเชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“พฤติกรรมของคน Gen Y จะเป็นพวกที่โตมาในยุคที่พ่อแม่สบายแล้ว เกิดมาพร้อมกับยุคข้อมูลข่าวสารโซเชียลมีเดีย ดังนั้น จะเป็นพวกที่ชอบตั้งคำถามตลอดเวลา และมีแนวคิดเรื่องของ Work Life Balance ด้วย คือไม่ได้หมายความว่าเป็นคนที่ไม่ทำงานหนักนะ แต่เป็นคนที่ทำงานหนักพอๆ กับที่ต้องการ relax time ดังนั้น โจทย์ถัดไปคือจะทำอย่างไรให้คนยุค Baby Boomer, Gen X และ คน Gen Y ทำงานร่วมกันได้ จึงเกิดแนวคิดการลดช่องว่างและลดระยะห่างของคนต่างยุคให้มาเจอกันที่นี่ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดกัน โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นคุยกันเรื่องงานอย่างเดียว อาจจะคุยกันเรื่องอื่นก็ได้ เรื่อง hobby ที่ตรงกัน เช่น กีฬา หนัง เพลง เป็นต้น”
บอสหนุ่มมาดเท่ ยังได้แลกเปลี่ยนมุมมองการทำงาน ซึ่งเขาบอกว่าทำให้ชีวิตสมดุลขึ้นทีเดียว เขาเรียกมันว่า “ปิรามิดชีวิต”
“ณัฐพงศ์” อธิบายถึงปิรามิดชีวิตที่เขาพูดถึงนั้น ประกอบไปด้วย 1.การทำงาน 2.ครอบครัว 3.สุขภาพ ทั้ง 3 สิ่งนี้จะต้องสมดุลกัน ไม่ควรมีอันไหนมากไปหรือน้อยเกินไป
“ในขณะที่เราทำงานหนักมาก เราก็ต้องให้เวลากับครอบครัว และดูแลสุขภาพพอๆ กัน ถามว่าถ้าเราทุ่มเทให้กับงาน แต่เราไม่มีเวลาให้ครอบครัวหรือดูแลร่างกาย ไม่ช้าปัญหาทั้งสองอย่างก็จะตามมาแล้วก็จะส่งผลต่องานในอนาคตแน่นอน ดังนั้น การรักษาสมดุลให้ทั้งสามอย่างบาลานซ์ไปด้วยกันได้มันส่งผลดีแน่นอน นี่คือสิ่งที่ผมยึดปฏิบัติมาตลอด ยกตัวอย่าง ถ้าเราจะสร้างบ้านเราก็ต้องเริ่มจากฐานที่ดีก่อน คือถ้าจุดเริ่มต้นมันดี หลังจากนี้ก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว”
ส่วนในเรื่องของการ Re-New ออฟฟิศนั้น “ณัฐพงศ์” ให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นส่วนตัวมาก จึงได้สั่งจัดการพื้นที่ภายในสำนักงานให้มีทั้ง space ที่เป็นส่วนตัว และยังสามารถ concentrate กับงานตรงหน้าได้อีกด้วย
“ที่นั่งทำงานต้องมีสมาธิ แต่เมื่อลุกขึ้นยืนแล้วต้องเห็นกันทั้งฟลอร์ จึงกำหนดให้พาเทชั่นสูงแค่ 1.3 เมตร ทำให้เกิดการสื่อสารกับคนอื่นๆ ได้ด้วย โดยที่เวลาทำงานก็ไม่สูญเสียความเป็นส่วนตัวและสามารถจดจ่ออยู่กับงานได้”
เมื่อถามถึงแนวคิดในการ Re-New ออฟฟิศ และทำพื้นที่ Social Club ตรงนี้ มุ่งหวังที่จะส่งสัญญาณผ่านแบรนด์ไปยังผู้บริโภคหรือไม่ รองประธานฯ SC ASSET เผยว่า ที่ทำตรงนี้เป็นเพียงแค่ส่วนนหนึ่งของทุกอย่างในบริษัทเท่านั้น คงไม่ใช่ทั้งหมด คือถ้าเราจะทำให้ SC ASSET ไปได้ดี มันก็จะต้องเริ่มจากที่ออฟฟิศก่อน เริ่มจากวิธีคิดในการงาน ถ้าเราดูแลพนักงานดี มันก็จะมีผลต่อไปยังการดูแลลูกค้าเองโดยสะท้อนออกมาในรูปของการทำงานที่ดี ผลงานที่ดี มี service mild จนทั้งหมดนี้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ดีขององค์กร ซึ่งมันยากมากและต้องใช้เวลาปลูกฝัง คือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าเราทำให้พนักงานแฮปปี้ ก็จะส่งผลดีต่อภาพรวมของบริษัทนั่นเอง
“ถ้าถามว่าจากนี้จะมีการประเมิณถึงขั้นวัดเป็นดัชนีมวลรวมความสุขของพนักงานเลยหรือไม่ ผมคิดว่าคงไม่ได้ขนาดนั้น คงไม่มีการมานั่งกรอบแบบสอบถามว่าหลังจากผลักด้านแนวคิด Work Life Balance แล้ว ชีวิตคุณดีขึ้นไหม คงไม่ใช่ เพราะคิดว่าลักษณะนั้น อาจจะไม่ได้คำตอบที่แท้จริง เพราะพนักงานคงจะกลัวว่าเอ..ถ้าตอบไปแล้วจะมีผลอะไรในการทำงานไหม แบบนี้คงไม่เอา แต่เราอาจจะถามง่ายๆ แค่ว่า ถ้าให้แนะนำใครมาทำงานที่นี่ คุณจะแนะนำไหม? เช่นเดียวกับเวลาเราถามลูกค้าว่า ถ้าให้แนะนำใครมาซื้อบ้านกับเรา คุณจะแนะนำไหม? แบบนี้น่าจะได้อะไรมากกว่า อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคิดว่าเรื่องของการวัดผลเป็นเรื่องรอง แต่เรื่องหลักๆ คือเมื่อพนักงานมีความสุข ก็จะส่งผลต่อการทำงานและผลกำไรบริษัทในภาพรวม”
“ณัฐพงศ์” ยังกล่าวด้วยความภูมิใจว่า แต่เท่าที่สังเกตดู 20% ของพนักงานก็มาใช้ที่นี่ ส่วนจะเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ไหม เรื่องนี้คงต้องดูในระยะยาว อย่างไรก็ตาม เรายังเปิดโอกาสให้พนักงานตามไซท์งานต่างๆ มาใช้ได้ด้วย หรือถ้าเขาคิดว่าไม่สะดวกมา แต่อยากจัดกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ เช่น ฟุตบอลสามัคคคี หรือกิจกรรรมอีเว้นท์เพื่อสุขภาพ เราก็มี budgets ให้เหมือนกัน เพราะวัตถุประสงค์ของบริษัทคือต้องการให้พนักงานเกิดความบาลานซ์ในชีวิต และการสื่อสารความสัมพันธ์ที่ดีภายในองค์กร
“ผมว่าในการทำงานเรื่องของ command เรื่องของไลน์ หรือสายการบังคับบัญชาการสั่งการก็ยังมีอยู่ แต่ communication ไม่มีไลน์ เราสามารถพูดคุยสื่อสารกันได้ทุกระดับไม่เฉพาะแต่เรื่องงาน เรื่องของความชอบอื่นๆ กีฬา อะไรก็ได้ พนักงานที่มีความเครียดจะส่งผลต่อการดูแลลูกค้า ถ้าพนักงานไม่มีความเครียด ทำงานแล้วมีความสุข งานก็ออกมาดีเอง ซึ่งถ้าพนักงานมาใช้งานที่นี่ 50-60% ผมก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว”
ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่ กับก้าวต่อไปในฐานะผู้ขับเคลื่อน SC ASSET คนสำคัญ เขาได้วางกลยุทธ์อะไรไว้บ้าง “ณัฐพงศ์” กล่าวว่า สำหรับบุคคลิกของ SC ASSET คือเราทำพร็อพเพอร์ตี้ พรีเมียม แบรนด์เราก็จะวางนโยบายไว้ 3 หลักใหญ่ๆ คือ
1.เราจะรุกตลาด premium มากขึ้น แต่เราจะไม่ใช่แบบโอ้อวดหรือเหย่อหยิ่ง แต่เป็นแบบ pround คือให้ลูกค้ารู้สึกภูมิใจที่มาซื้อบ้านจากเรา ได้บ้านที่ดี มั่นคง ให้กับครอบครัวของคุณ
2.Care & Creative คือเราทุ่มเทใส่ใจและเอาใจใส่ เรายอมรับว่ามีการคอมเพลนของลูกค้าบ้าง แต่ในหลายๆ คำติติง สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดคือคำชมที่ว่า “ได้รีบมาแก้ไขโดยเร็ว” หรือ “รีบมาจัดการให้แล้ว” สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญที่เรายึดถือมาตลอด คือความใส่ใจต่อลูกค้า
ส่วนครีเอทีฟเป็นส่วนหนึ่งของความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แล้วนำมาสร้างสรรค์เป็นไอเดีย เช่น ชานหน้าแคบ ถ้าเวลาถอดรองเท้าฝนตกทำยังไง ก็ต้องออกแบบให้ยื่นมาอีก อะไรอย่างนี้เป็นต้น คือสิ่งที่เราคิดว่าเป็นเรื่องยิบย่อยที่เราไม่เพิกเฉยแล้วสร้างสรรค์มันออกมา
3.ความจริงใจ ตรงนี้เป็นหลักการส่วนตัวและเป็นหลักการของบริษัทที่ยึดกันมายาวนาน คือการทำงานทุกสิ่งจะต้องมีความจริงใจ เพราะฉะนั้นการรักษาสัญญากับลูกค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่การพิสูจน์ว่าจริงใจหรือไม่อันนี้คงต้องเป็นเรื่องระยะยาวที่จะต้องพิสูจน์กัน
ทิ้งท้ายอีกนิดที่ “ณัฐพงศ์” แย้มให้เราทราบคือ “เร็วๆ นี้เรามีแพลนว่าจะแตกแบรนด์อีกแบรนด์หนึ่งออกมา เป็นบ้านเดี่ยวในราคา 3-5 ล้านบาท ก็หวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นโครงการอื่น”
นับเป็นแนวทางการทำงานที่น่าสนใจสำหรับผู้บริหารคนรุ่นใหม่ ที่ให้ความใส่ใจในชีวิตของพนักงานทุกระดับ จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่ทราบได้ แต่เชื่อมั่นว่าสิ่งนี้ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยตรงอย่างแน่นอน ต้องจับตาต่อไปว่า แนวคิด Work Life Balance จะถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการตลาดหรือไม่.
สำหรับ SOCIAL CLUB
ทาง SC ASSET ได้จัดให้เป็นสถานที่สังสรรค์ พักผ่อน ออกกำลังกายของพนักงานโดยเฉพาะ มีพื้นที่ขนาด 1,143 ตร.ม ใช้งบประมาณในการลงทุนสร้างราว 20,053,054.39 บาท
Facility : BADMINTON COURT 1 – 2, FITNESS ROOM, YOGA STUDIO, KARAOKE 1 -2, LOUNGE AREA, ห้องซ้อมดนตรี
Concept : ใน 24 ชม. เราใช้เวลาอยู่ที่ออฟฟิศ ประมาณ 8-10 ชม. ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด เลยเป็นที่มาของการทำให้ Workspace มีบรรยากาศที่เป็นกันเอง อบอุ่น และผ่อนคลาย โดยไม่ต้องการให้ดูเป็นทางการมากเกินไป
Style : ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือน ‘บ้าน’ โดยเน้นส่วนต่างๆ ของพื้นที่ทั้งส่วน Fitness, Badminton court , karaoke หรือในส่วนของ Cafe ก็ตาม เหมือนกับเรายังคงได้ผ่อนคลายในบ้านอย่างแท้จริง.