YOLK แบรนด์ทาร์ตไข่มาแรง ด้วยยอดจำหน่ายมากกว่า 100,000 ชิ้นต่อเดือน บริหารโดยทีมผู้บริหารคนรุ่นใหม่ นำทัพโดย อิน-สาริน รณเกียรติ นักแสดงหนุ่มมากความสามารถ ประกาศเดินเกมรุกปี 2568 เร่งขยายสาขาเพิ่ม 5 สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ Collaboration ร่วมกับทีมแบรนด์ไทยพาขนมไทยโกอินเตอร์
อิน – นายสาริน รณเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ร่ำรวยที่สุด จำกัด นักแสดงหนุ่มมากความสามารถ ได้ก้าวเข้าสู่วงการธุรกิจด้วยการเปิดตัวธุรกิจ F&B ในนาม The Holiday Group ล่าสุด กับการปั้นแรนด์ใหม่ ได้แก่ “Yolk” แบรนด์ทาร์ตไข่ ขนมอบที่เกิดจากความหลงใหลในรสชาติและคุณภาพของทาร์ตไข่ฮ่องกง
YOLK ทาร์ตไข่ที่เกิดจากการหาช่องว่างในตลาด Classic Trend
คุณอิน เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่าทำไมตัดสินใจทำขนมทาร์ตไข่ และตัดสินใจเปิดแบรนด์ YOLK ว่า เกิดจากกรณีศึกษาที่ฮ่องกง ซึ่งเราพบเทรนด์ขนมทาร์ตไข่ที่เติบโตมาก ซึ่งเทรนด์ของการทำธุรกิจขนม จะมีหลักๆ อยู่ 2 อย่างก็คือ Classic Trend และ Viral Trend ยกตัวอย่าง Viral Trend เช่น ช็อกโกแล็ตดูไบ ที่ปกติอยู่ที่ประมาณ 60-90 วัน แต่ก็จะมีขนมบางอย่างที่มัฮอตฮิตตลอดกาล หนึ่งในนั้นก็คือ ทาร์ตไข่ ที่เราเห็นโพเทนเชียล และเราอยากปลุกทำให้มันกลับมา
YOLK (โยล์ค) แบรนด์ทาร์ตไข่ สร้างแบรนด์จากแนวคิด The Rise of YOLK – The Next-Level Thai Egg Tart ซึ่งหลังการเปิดตัวเพียง 4 เดือน สร้างกระแสฟีเวอร์ ลูกค้าต่อแถวตั้งแต่ร้านเปิดจนร้านปิด เสิร์ฟความอร่อยเดือนละกว่า 100,000 ชิ้น ครองใจทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ ด้วยจุดเด่นของทาร์ตไข่สูตรออริจินัล แป้งครัวซองต์ที่กรอบนอก ฉ่ำใน ไปจนถึงไส้คัสตาร์ดรสละมุน
สำหรับ YOLK เราใช้เวลาในการพัฒนาแบรนด์ประมาณ 1 ปีเต็มพร้อมงบฯ ลงทุน ประมาณ 10 ล้านบาท (ยกเคสที่ร้านบรรทัดทอง สาขาแรก) ซึ่งงบฯ ที่ทุ่มมากที่สุดเลยก็คือ การสร้างครัวกลางที่ค่อนข้างใหญ่และต้องทำให้ดี
“เพราะเราไม่อยากมีปัญหาเรื่องการผลิต ทำไม่ทัน หรือลูกค้าต้องต่อคิวนาน เราไม่อยากให้ลูกค้าพบกับประสบกรณ์แบบนั้น มันไมส่งผลดีกับแบรนด์”
กลุ่มเป้าหมายของ Yolk ปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Y ซึ่งเป็นคนไทย 70% และเป็นต่างประเทศ 30% ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะได้อานิสงส์จากโลเคชั่นร้าน สาขาบรรทัดทองและเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นย่านเดสทิเนชั่นของคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะฐานลูกค้าจากจีน ฮ่องกง เกาหลี และญี่ปุ่น
หลักคิดในการเปิดแบรนด์ ‘Specialty is the new normal’
คุณอิน เล่าถึงหลักคิดในการเปิดแบรนด์ว่า ก่อนที่จะเปิดแบรนด์ เราจำเป็นต้องสำรวจผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด โดยเริ่มจากการศึกษาปีเทรนด์ (Year Trends) ในแต่ละปี ซึ่งในปีนี้เทรนด์ที่มาแรงมากคือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialty) โดยมีคำกล่าวว่า ‘Specialty is the new normal’ สืบเนื่องจาก ผู้บริโภคในปัจจุบันมีตัวเลือกมากมายจากแบรนด์ต่างประเทศ และ SME ไทย ที่ก่อตั้งขึ้นมากมาย จึงไม่เหมือนเมื่อ 5 หรือ 10 ปีที่แล้ว ที่แบรนด์หนึ่งต้องขายทุกอย่าง แต่ปัจจุบัน แบรนด์หนึ่งต้องมีความเชี่ยวชาญในบางสิ่งบางอย่าง หรือเก่งในบางสิ่งบางอย่าง เรียกได้ว่าเทรนด์ที่เน้นควาทมเชี่ยวชาญเฉพา คือเทรนด์สำคัญในปี 2025
ดังนั้น เราจึงไปศึกษาผลิตภัณฑ์ว่า มีผลิตภัณฑ์ใดที่ยังมีพื้นที่ในตลาดประเทศไทยซึ่งยังไม่มีคู่แข่งที่แข็งแกร่งหรือมีขนาดใหญ่ และยังคงมีพื้นที่ให้เราทำการตลาดได้ โดยเราจะดำเนินการวิจัยตลาดจากทั่วโลกด้วย
กลยุทธ์ตั้งราคาสินค้า 100 มีทอน – เน้นไซส์โตๆ
สำหรับกลยุทธ์ในการตั้งราคา คุณอินระบุว่า เราต้องคำนึงถึงสองสิ่งคือ หนึ่งคือ ราคาไม่แพงเกินไปและไม่ถูกเกินไป ควรอยู่ในช่วงที่ลูกค้ารู้สึกสบายใจที่จะซื้อ โดยราคาควรอยู่ในช่วง 100 บาท มีทอน ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกว่าคุ้มค่า นอกจากนี้ เราจึงเลือกที่จะเพิ่มขนาดชิ้นให้ใหญ่ขึ้น โดยเราพบว่าเรามีขนาดชิ้นใหญ่ที่สุดในตลาดขนมทาร์ตไข่
เมื่อเราเปิดตัวทาร์ตไข่ YOLK ลูกค้าได้มีโอกาสลองและทำให้เกิดกระแสบวกเกี่ยวกับคุณภาพและราคาของเรา ที่ราคา 95 บาทต่อตัวทาร์ตไข่ ลูกค้าก็ได้รับทาร์ตไข่ที่มีขนาดใหญ่และมีคุณภาพสูง
Collaboration จับมือแบรนด์ไทย: ลุย 3 กลยุทธ์บุกตลาดสู้ต่างชาติ
สำหรับกลยุทธ์ในการเดินเกมรุกจากนี้ คุณอิน กล่าวว่านอกจากจะเดินหน้าขยายสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑลเพิ่มอีก 5 สาขาในปีนี้ พร้อมขยายครัวกลางให้พร้อมรองรับความต้องการของลูกค้า ยังมีแผนจะแท็กทีมกับแบรนด์ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มของไทย เพื่อนำเสนอรสชาติใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เพื่อสร้างชื่อให้แบรนด์ไทยไปไกลในระดับสากล โดยคาดว่าจะทยอยเปิดตัวผลงาน Collaboration ในช่วงไตรมาสสาม ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา YOLK ได้ประเดิมความร่วมมือกับ MTCH
แบรนด์มัทฉะสเปเชียลตี้ของไทย รังสรรค์ทาร์ตไข่มัทฉะโมจิสด (Uji Matcha Mochi Egg Tart) เปิดประสบการณ์ใหม่ให้เหล่านักชิมได้สัมผัสศิลปะของทาร์ตไข่ต้นตำรับและมัทฉะสเปเชียลตี้ในคำเดียว เหตุผลที่เราเน้น Collaboration กับแบรนด์ไทยด้วยกัน เพราะในฐานะผู้ประกอบการ SME เราเข้าใจดีว่า ปัจจุบัน SME ไทยต้องรับมือกับความท้าทายรอบด้าน เราเห็นเพื่อนๆหลายๆ แบรนด์ค่อยๆล้มหายไปจากตลาดเอฟแอนด์บี “แต่เราก็เข้าใจดี เพราะมันคือธรรมชาติของการทำธุรกิจ มันคือสนามเปิดที่ทุกคนมีสิทธิ์เล่นได้”
ดังนั้น ในการจับมือร่วมกับแบรนด์ไทย เราจะใช้ 3 กลยุทธ์หลักคิดดังนี้
1) ตัวเล็กไวกว่า – เราต้องทำงานแบบความไวแสง คือเราต้องออก (โปรดักส์) ก่อน และออกอย่างมีคุณภาพ เพราะนี่คือข้อได้เปรียบของตัวเล็กไวกว่า
2) รสชาติ – ความที่เราเป็นคนไทย ดังนั้น แบรนด์ไทยก็จะรู้ใจรู้จักรสมือรสปากของคนไทยดีกว่า แบรนด์ต่างประเทศ อย่างคนไทยตามดาต้าบอกว่า ชอบหวานน้อย แต่ถึงแม้จะหวานน้อย แต่ก็เน้นรสชาติที่จัดจ้าน ถ้าเป็นขนมหวาน ก็ต้องมีความนมเป็นนม ครีมเป็นครีม สำหรับคนไทยง่ายมากเลย 3 คำสั้นๆ เลยคือ “ไหล-ฉ่ำ-เยิ้ม”
3) โลคอล คอนเทนต์ – คนไทยจะไม่รู้จักคนไทยกันเองได้อย่างไร ดังนั้น เรารู้ดีกว่าจะทำคอนเทนต์อย่างไร ทำคลิปอย่างไรให้ไวรัล ให้ถูกใจคนไทยก็เชื่อว่าไม่ใครสู้เราได้
“YOLK มองว่าถึงเวลาที่แบรนด์ไทยด้วยกันจะจับมือกันโต และร่วมมือกันทำให้ทุกคนเห็นว่า แบรนด์ไทยก็มีดีไม่แพ้แบรนด์ต่างชาติ โดย YOLK พร้อมจะทำหน้าที่เป็นเหมือนเกตเวย์ที่พาแบรนด์ไทยไปให้กลุ่มลูกค้าต่างชาติได้สัมผัสและเติบโตไปด้วยกัน อยากให้แบรนด์ YOLK เข้ามาช่วยยกระดับมาตรฐานแบรนด์ขนมของคนไทย เป็นหนึ่งในแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้อยากมาไทย เมื่อไหร่ที่คิดถึงทาร์ตไข่ต้องคิดถึงประเทศไทย”