เรื่องราวการเดินทางของธุรกิจคอนเทนต์บันเทิงในไทยนั้นน่าสนใจไม่น้อย และหนึ่งในผู้เล่นสำคัญก็คือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของ TrueVisions รวมถึง TrueID ที่เรารู้จักกันดี แต่รู้หรือไม่ว่ากว่าจะมาเป็น TrueVisions ได้นั้นธุรกิจนี้คือเส้นทางการแข่งขันของ “ทีวีบอกรับสมาชิกระดับตำนาน” อย่าง IBC ของบริษัทเครือชินวัตร และ UTV ของ CP ก่อนที่ทั้งสองบริษัทจะควบรวมกันเป็น UBC ในเวลาต่อมา
พูดง่ายๆก็คือ IBC คือธุรกิจของ “ทักษิณ ชินวัตร” และ UTV เป็นของ “ธนินท์ เจียรวนนท์” สองบริษัทแข่งขันกันก่อนที่จะรวมกันเป็น UBC
หลังจากนั้น CP ซื้อ UBC เป็นของตัวเองและเปลี่ยนชื่อเป็น TrueVisions ในที่สุด
IBC ผู้บุกเบิกธุรกิจทีวีแบบสมัครสมาชิก

จุดเริ่มต้นของธุรกิจทีวีบอกรับสมาชิกในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นโดย IBC เข้ามาทำธุรกิจนี้เป็นเจ้าแรกๆในปี 2532
IBC หรือ บริษัท อินเตอร์เนชันแนล บรอดคาสติง คอร์ปอเรชันส์ เป็นธุรกิจร่วมทุนระหว่าง บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ เซอร์วิส แอนด์ อินเวสต์เมนท์ (บริษัท INTUCH ในปัจจุบันซึ่งกำลังควบรวมกับ GULF) กับ บริษัท เคลียร์วิว ไวร์เลส ซึ่งมีเจ้าของเป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน
IBC สร้างปรากฏการณ์ให้คนไทยด้วยช่องรายการมากมายทั้งข่าว การ์ตูน ภาพยนตร์ กีฬา มาพร้อมกับหนังสือแจกฟรีแนะนำคอนเทนต์ในช่องต่าง ๆ พร้อมตารางออกอากาศที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นจึงสร้างกระแสฮือฮาให้กับผู้บริโภคได้แบบสุดๆ
นอกจากนี้ IBC ยังมีการถ่ายทอดสดบาสเก็ตบอล N.B.A ที่สร้างกระแสฮิตในกลุ่มวัยรุ่นแบบสุดๆ กลายเป็นเทรนด์แฟชั่นขึ้นมาในยุคหนึ่ง กระแสนี้ทำให้เด็กๆที่บ้านพอจะมีฐานะในยุคนั้นจะร้องขอให้พ่อแม่ติด IBC กันแทบทุกบ้าน
UTV คู่แข่งจากเครือ CP

ในช่วงที่ IBC ถือกำเนิดขึ้น เครือ CP ก็เริ่มเข้าสู่ธุรกิจโทรคมนาคมโดยในปี 2533 บริษัท CP เริ่มรุกธุรกิจให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานและอินเตอร์เน็ตบ้านโดยบริการทั้งหมดดำเนินการโดย บริษัท เทเลคอมเอเชีย คอร์ปอเรชัน จำกัด หรือก็คือบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่เรารู้จักในปัจจุบัน
เทเลคอมเอเชีย ในเวลานั้นมองเห็นช่องว่างธุรกิจจากจุดด้อยของ IBC ที่ส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมทำให้ผู้ชมดูทีวีไม่ได้เวลาฝนตก เทเลคอมเอเชียเลย เริ่มธุรกิจแบบเดียวกันในปี 2538 ในชื่อ UTV โดยส่งสัญญาณผ่านสายเคเบิล Fiber Optic ที่แม้ฝนจะตกก็ดูได้ไม่ติดขัด และยังมีระบบ Pay Per Veiw ในการซื้อหนังมาดูที่บ้านได้ด้วย
UTV ยังซื้อสิทธิ์ช่องดังๆจากต่างประเทศมาทั้งหนัง กีฬา บันเทิง และจุดเด่นก็คือเป็นการถือกำเนิดของรายการเพลงอย่าง CHANEL V และ MTV ที่สร้าง V.J. ดังๆประดับวงการอีกหลายคนเป็นอีกช่องทางที่ดึงดูดวัยรุ่นยุคนั้นได้อย่างดี
แต่ UTV ก็ไม่ได้ชนะในเกมนี้อย่างเด็ดขาด เพราะการออกอากาศผ่านสายเคเบิลก็ยังทำไม่ได้ครอบคลุม การติดตั้งมีความยุ่งยากกว่า ต้นทุนสูงกว่าแบบดาวเทียม ทำให้สมาชิกจำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ต่างจาก IBC ที่ตั้งเสาแล้วดูได้เลยและขยายไปได้ทั่วประเทศ
นั่นทำให้การแข่งขันระหว่าง IBC และ UBC เป็นเป็นไปอย่างดุเดือดทั้งออกโปรโมชั่น ดึงฐานลูกค้า รวมไปถึงการแข่งขันกันประมูลคอนเทนต์จากต่างประเทศจนราคาประมูลพุ่งสูง
ต้มยำกุ้ง IBC+UTV = UBC
เมื่อการแข่งขันระหว่าง IBC และ UTV เป็นไปอย่างรุนแรงเกิดการทำสงครามราคา ทั้งสองฝ่ายยอมได้กำไรน้อยลงแลกกับการดึงฐานลูกค้าจากคู่แข่งแบบดุเดือด
แต่จู่ๆ วิกฤต “ต้มยำกุ้ง” วิกฤตทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก็เกิดขึ้นทำให้ค่าเงินบาทลอยตัวไปเกือบ 2 เท่าตัวในช่วงปี 2540
ภาวะที่ว่านี้ทำให้เศรษฐกิจในไทยถดถอยอย่างรุนแรงประชาชนเริ่มไม่มีเงินจ่ายค่าสมาชิก ขณะที่ธุรกิจอย่าง IBC และ UTV ที่ต้องซื้อคอนเทนต์จากต่างประเทศเป็นสกุลเงินดอลลาร์มีต้นทุนสูงขึ้นเกือบ 2 เท่า พูดง่ายๆว่าจากเดิมที่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ 20 ล้านบาทก็ต้องจ่าย 40 ล้านบาทในช่วงข้ามคืนเท่านั้น
ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้สองคู่แข่ง IBC และ UTV ไม่สามารถทำกำไรเลี้ยงตัวเองได้ จึงตัดสินใจหันหน้ามาเจรจาควบรวมกิจการเข้าด้วยกันเกิดขึ้นเป็น UBC ในปี 2541 ที่รวมเอาข้อดีของการส่งสัญญาณดาวเทียม และการส่งสัญญาณผ่านสายเคเบิลเข้าไว้ด้วยกันให้ลูกค้าได้เลือกติดตั้งตามสะดวก
จุดเริ่มต้น “ทรู” และการเติบโตของ UBC
ในปี 2541 ช่วงที่ UBC ถือกำเนิดขึ้น ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ เทเลคอมเอเชีย เริ่ม “ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่” เริ่มจากการให้บริการ “โทรศัพท์ประจำที่แบบพกพา” ที่เรียกว่า “PCT” ก่อน
หลังจากนั้น เทเลคอมเอเชีย ตัดสินใจร่วมทุนกับบริษัท ทีเอ ออร์เรนจ์ (TA Orange) จากฝรั่งเศส ในปี 2544 เริ่มต้นธุรกิจเครือข่ายโทรศัพท์มือถืออย่างเป็นทางการในชื่อแบรนด์ “ทีเอ ออเรนจ์” ก่อนที่ กลุ่มออเรนจ์ ได้ตัดสินใจถอนทุนออกจากประเทศไทย ในปี 2547
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ เทเลคอมเอเชีย เข้าซื้อกิจการของออเรนจ์ และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ส่วนแบรนด์เครือข่าย ทีเอ ออเรนจ์ ก็ถูกเปลี่ยนเป็น “ทรูมูฟ” (TrueMove) ในที่สุด
กลับมาที่ UBC หลังจากปี 2541 ธุรกิจก็เติบโตขึ้นแบบสุดๆเพราะตอนนี้ไม่ต้องแข่งขันกับใครกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่รายเดียวในประเทศไทย
เวลานั้น UBC มีผลประกอบการที่ดีมากจนสามารถเข้าไปจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แถมเคยติดอันดับดัชนี SET 50 หรือหุ้นที่มีมูลค่าบริษัทและมีสภาพคล่องมากที่สุด 50 อันดับแรกในตลาดหุ้นไทยด้วย
UBC, UBC-True สู่ TrueVisions
ถามว่า UBC กลายเป็น TrueVisions ได้อย่างไร ก็ต้องบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งในนโยบาย Convergence ของ ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ต้องการรวมเอาบริการทีวี, อินเตอร์เน็ต และ โทรศัพท์มือถือ เข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้ธุรกิจแข่งขันได้ดีขึ้น
เช่น สามารถรวมบริการต่างๆมาให้ส่วนลดรายเดือนสำหรับลูกค้าที่มีบริการทั้ง 3 อย่างได้ นอกจากนี้ยังกลายเป็นแบรนด์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้แบบครบวงจรด้วย
และการที่จะทำแบบนั้นได้ กลุ่มทรู จำเป็นต้องเป็นเจ้าของธุรกิจทีวีอย่าง UBC แบบ 100% ดังนั้นในปี 2549 กลุ่มทรู ที่ถือหุ้น UBC 40% จึงตัดสินใจเข้าซื้อหุ้น UBC อีก 30% จากบริษัท MIH บริษัทสื่อจากแอฟริกาใต้ด้วยเงิน 6,000 ล้านบาททำให้ทรูมีสัดส่วนหุ้น UBC เพิ่มเป็น 70%
จากนั้นกลุ่มทรูก็ประกาศรับซื้อหุ้นจากนักลงทุนรายย่อยนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้ UBC มาเป็นของกลุ่มทรูแบบเต็มตัวก่อนที่ ทรูจะเปลี่ยนชื่อ UBC เป็น UBC-True และเปลี่ยนเป็น TrueVisions อย่างที่เรารู้จักกันในวันนี้
TrueID แพลทฟอร์มบันเทิงของกลุ่มธุรกิจดิจิทัล
หลังจากนั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น ก็ได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง กับ 3 ธุรกิจหลักอย่าง
- ทรู ออนไลน์: ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
- ทรูมูฟ เอช: ให้บริการโทรศัพท์มือถือ
- ทรูวิชั่นส์: ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก
และในปี 2560 เมื่อก้าวสู่ยุคดิจิทัล กลุ่มทรูก็ขยายธุรกิจออกไปอีก 1 ขาด้วยการตั้ง “ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป” ขึ้นเพื่อขยายสู่ธุรกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยมีบริการหลากหลาย เช่น TrueID , TrueID TV, Trueyou, True Point, True Digital Solution, Smart Home, True Digital Cyber Security, True Health และอื่น ๆ อีกมากมาย
สำหรับ TrueID เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป วางให้เป็น Super App ที่เชื่อมบริการเครือทรูไว้ทั้งหมดในที่เดียว ทั้งเนื้อหาความบันเทิง สะสมคะแนน โปรโมชั่นส่วนลด ซื้อขายแพคเกจมือถือ แพคเกจอินเตอร์เน็ต แคมเปญการตลาดกับพาร์ตเนอร์ต่างๆ
นอกจากนี้ TrueID ยังมีบริการ TrueID TV แพลทฟอร์มสำหรับการชมรายการโทรทัศน์ คอนเทนต์บันเทิงแบบออนดีมานด์ ซีรีย์เกาหลี จีน รวมไปถึงจุดแข็งอย่างการถ่ายทอดสดกีฬาจากต่างประเทศที่มีให้เลือกมากที่สุดในประเทศไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ” ลีกกีฬาที่มีคนติดตามมากที่สุดในประเทศไทย
TrueVision Now บริการสตรีมมิ่งใหม่
ส่วน ทรูวิชั่นส์ เองก็ยังคงเน้นการให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกผ่านดาวเทียมและเคเบิลเป็นหลัก แต่ด้วยปัญหาที่ช่วงหลังฐานลูกค้าลดลงเรื่อยๆ ทำให้ทรูวิชั่นส์ เองก็ต้องปรับตัวเช่นกัน
นั่นทำให้ในปี 2564 เกิดบริการใหม่อย่าง “TrueVisions NOW” บริการสตรีมมิ่ง เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเข้าถึงคอนเทนต์ TrueVisions ได้
TrueVisions NOW นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ ของทรูวิชั่นส์ ในการเพิ่มฐานลูกค้าของบริษัท สามารถรับสมาชิกใหม่ๆเพิ่มขึ้นได้ในขณะที่ลูกค้าของทรูวิชั่นส์ เดิมก็สามารถเข้ามาใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง
การมีอีกช่องทางทำให้ทรูวิชั่นส์ จากเดิมที่ส่งคอนเทนต์ไปออกอากาศผ่าน TrueID TV ที่อยู่ภายใต้ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ตอนนี้ก็จะมีช่องทางของตัวเองในการสร้างรายได้แล้ว ส่วนผู้บริโภคเองก็มีทางเลือกในการรับชมมากขึ้น
ทรูวิชั่นส์กับความท้าทายที่รออยู่
ปัจจุบันแม้ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเมื่อมีการควบรวมกิจการกับ “ดีแทค” กลายเป็นบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยไปแล้วด้วยจำนวนลูกค้ามากกว่า 49 ล้านราย นับแล้วมากกว่าครึ่งของจำนวนประชากรทั้งประเทศ
แต่ธุรกิจทีวีบอกรับสมาชิกของทรู ก็ยังคงเจอกับความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นช่องทางการชมคอนเทนต์ที่มากขึ้นในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะบริการสตรีมมิ่งจากต่างประเทศอย่าง Netflix, Disney+, Prime, HBO Go, Viu, iQIYI หรือ We TV หรือจะเป็นผู้เล่นในไทยอย่าง AIS Play, MONO MAX หรือ OneD Original ก็ตาม
ความท้าทายนี้แสดงให้เห็นผ่านผลประกอบการของทรูวิชั่นส์ในช่วง 5 ปีหลังที่รายได้และจำนวนลูกค้ายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง
- 2563 รายได้ 10,662 ล้านบาท จำนวนลูกค้า 3.9 ล้านราย
- 2564 รายได้ 9,838 ล้านบาท จำนวนลูกค้า 3.5 ล้านราย
- 2565 รายได้ 9,280 ล้านบาท จำนวนลูกค้า 3.2 ล้านราย
- 2566 รายได้ 6,311 ล้านบาท จำนวนลูกค้า 1.4 ล้านราย
ล่าสุดไตรมาส 3 ปี 2567 จำนวนลูกค้าของธุรกิจทีวีบอกรับสมาชิกของทรูวิชั่นส์ยังลดลงต่อเป็น 1.3 ล้านรายแล้ว
นอกจากแนวโน้มที่เห็นนี้แล้ว ทรูวิชั่นยังต้องเจอความท้าทายจากการเสียตำแหน่ง “King of Sport” ที่ไม่สามารถคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษในอีก 6 ฤดูกาลข้างหน้ามาครองได้ แต่เป็นบริษัท JAS ที่ตัดหน้าคว้าลิขสิทธิ์ไปได้และเตรียมถ่ายทอดสดผ่าน MONOMAX และ MONO29 ตั้งแต่ฤดูกาล 2025/2026 เป็นต้นไป
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะกระทบกับธุรกิจทีวีบอกรับสมาชิกของทรูวิชั่นส์ มากน้อยแค่ไหนก็เป็นเรื่องที่น่าติดตามต่อไปเช่นกัน