ทันทีที่ทรัมป์สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการและเริ่มต้นทำงานตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา SCB WEALTH ทีมให้บริการด้านการบริหารความมั่งคั่งของธนาคารไทยพาณิชย์ก็ได้จัดงาน “Tomorrow’s Wealth: Key Investment Trends Defining 2025” ขึ้นในวันถัดมาทันที โดยมีผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ และกลยุทธ์การลงทุนปี 2025 ไว้อย่างน่าสนใจพร้อมกับแนะนำบริการใหม่อย่าง Family Office ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ด้วย
ศก.โลก “ยาก” ศก.ไทย “แย่” แต่ยังมีโอกาส
ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส SCB EIC บรรยายในหัวข้อ Outlook 2025 “Challenges and Opportunities” มองว่าผลกระทบจากนโยบายในยุคทรัมป์ 2.0 ทำให้เศรษฐกิจโลกในปีนี้ชะลอตัวลง เช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทยที่เปรียบเสมือน “งูเล็ก” ที่ต้องอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ของสองงูใหญ่อย่าง “สหรัฐ” และ “จีน”
ในมุมเศรษฐกิจโลก
ดร.ปุณยวัจน์ มองว่าในปี 2025 การขยายตัวของ “เศรษฐกิจจะชะลอลงจากปีก่อน” แม้แรงกดดันระยะสั้นจะลดลงตามทิศทางเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่ปรับลดลง แต่นโยบาย Trump 2.0 ของสหรัฐฯจะทำให้ปัญหาสงครามการค้ารุนแรงขึ้น กระทบการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงาน อย่างไรก็ตาม หลายประเทศหลักได้เตรียมชุดมาตรการลดผลกระทบเชิงลบจาก Trump 2.0 ไว้บ้างแล้ว
ในมุมนโยบายการเงินโลกในปี 2025 จะเริ่มแตกต่างกันและมีความไม่แน่นอนสูง โดยคาดว่า “ธนาคารกลางสหรัฐฯจะลดดอกเบี้ยรวม 50 BPS” น้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าและการกระตุ้นการลงทุนในประเทศ ขณะที่ “ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยทั้งปี 125 BPS และ 50 BPS ตามลำดับ” มากกว่าคาดการณ์เดิม เพื่อดูแลเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงจากนโยบาย Trump 2.0 ที่เป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติม
สำหรับแรงกดดันเงินเฟ้อโลกอาจไม่เร่งตัวมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจโลกแย่ลง “ราคาพลังงานโลกมีแนวโน้มต่ำลง” ตามอุปสงค์โลกชะลอตัวและการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ จากนโยบายสนับสนุนของ Trump
เศรษฐกิจไทยในปี 2025
การขยายตัวของ “เศรษฐกิจไทยจะชะลอลงอยู่ที่ 2.4%” จากผลกระทบการกีดกันการค้ารุนแรงขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0 เนื่องจากสินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้า สงครามการค้ารอบใหม่จะทำให้ไทยมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าจีนมากขึ้น ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยทั้งตลาดในและนอกประเทศจะมีปัจจัยกดดันมากขึ้นส่งผลให้ “การส่งออกไทยเติบโตชะลอลง” โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังที่นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จะเริ่มกระทบหลายประเทศ
“การลงทุนภาคเอกชนจะกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 2026″ แต่ฟื้นไม่แรงมากนักจากความเปราะบางของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดและอุปสงค์ในประเทศซบเซา ในช่วงปีนี้ เศรษฐกิจไทยโดยรวมมีความเสี่ยงหลายด้าน ขณะที่ “รายได้ครัวเรือนยังฟื้นตัวจำกัด” ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงน่าจะใช้เวลาคลี่คลายส่งผลกดดันการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่ยังต้องติดตามคุณภาพสินเชื่อรายย่อยทั้งระบบที่ยังเปราะบาง ท่ามกลางความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน
ดร.ปุณยวัจน์จาก SCB EIC ประเมิน “อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะปรับลดลงอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี อยู่ที่ 2%” จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ และลดผลกระทบภาวะการเงินตึงตัวต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจะขึ้นกับความจำเป็นในการเตรียมรองรับความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าที่จะเพิ่มขึ้นมาก ทั้งจากความเปราะบางภายในและความท้าทายภายนอก
อย่างไรก็ตามแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวแต่ก็มีหลายธุรกิจที่อาจมีโอกาสในปี 2025 เช่นกันเช่น Industrial estate ธุรกิจ Warehouse รวมถึง ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์เป็นต้น
กลยุทธ์การลงทุนในปี 2025
ในเรื่องกลยุทธ์การลงทุนในปี 2025 นั้นคุณเกษรี อายุตตะกะ ในตำแหน่ง CFP® ผู้อำนวยการ Investment Research, SCB Chief Investment Office (SCB CIO ) ธนาคารไทยพาณิชย์ บอกเอาไว้ว่าในปี 2025 การลงทุนในตลาดหุ้น มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น โดยมี 3 ประเด็นสำคัญที่เปลี่ยนแปลงตลาดก็คือ นโยบายทรัมป์ 2.0, การแก้เงินเฟ้อยังไม่เร็วพอ และ กระแสของ AI
เกาะกระแส AI ลงทุนหุ้นสหรัฐระยะยาว
คุณเกษรี เรียงลำดับความน่าสนใจของตลาดหุ้นทั่วโลกให้ด้วยโดยบอกว่า “ตลาดหุ้นสหรัฐฯมีความโดดเด่นที่สุด” มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเหนือตลาดหุ้นโลก จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี และกระจายเป็นวงกว้างขึ้น แต่ด้วย Valuation ที่ค่อนข้างแพง จึง “แนะนำให้ลงทุนระยะยาว” โดยคัดเลือกหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่เกาะกระแส AI ผสมผสานกับกลุ่ม Defensive ที่รายได้และกำไรของบริษัท มีความอ่อนไหวต่อความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจต่ำ ขณะเดียวกัน ก็สามารถหาโอกาสจาก “การลงทุนระยะสั้น” ในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กของสหรัฐฯ ที่ได้อานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์
ด้านตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย เผชิญปัจจัยกดดันจาก Bond Yield สหรัฐฯ 10 ปี ที่เพิ่มสูงขึ้น เงินดอลลาร์ สรอ. ที่แข็งค่า และความไม่แน่นอนบนนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ จึงอาจยังไม่น่าสนใจลงทุนในระยะสั้น แต่ “สามารถลงทุนระยะยาวได้” เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว เช่น “ตลาดหุ้นจีน A-Share ตลาดหุ้นอินเดีย ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และตลาดหุ้นไทย” ในส่วนของ ตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดหุ้นชายขอบที่มีโอกาสถูกยกระดับเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ สามารถหาโอกาสลงทุนในระยะสั้นได้
คุณเกษรี บอกด้วยว่า ด้วยปัจจัยท้าทายที่ทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสผันผวนได้มากขึ้น จึงแนะนำให้ ลดความเสี่ยงให้พอร์ตโดย “ลงทุนระยะยาวในหุ้นกู้ Investment Grade ของสหรัฐฯ” ที่มี Duration สั้น yield ยังน่าสนใจ พร้อมแบ่งเงินส่วนหนึ่ง “ลงทุนใน REITs / สินทรัพย์ผสม” เพื่อสร้างกระแสเงินสด นอกจากนี้ แนะนำ “ลงทุน ทองคำ” ด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ และสงคราม
โอกาสที่ซ่อนอยู่ในตลาดหุ้นไทย
แม้ตลาดหุ้นสหรัฐจะโดดเด่นมากที่สุดในปี 2025 แต่ตลาดไทยเองที่แม้จะปรับตัวลงและลดความน่าสนใจลงไปมาก แต่ก็ยังคงมีโอกาสซ่อนอยู่ซึ่งในประเด็นนี้ คุณสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัดคาดการณ์ว่า ในปี 2025 SET Index จะมีเป้าหมายประเมินไว้อยู่ที่ 1,550 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของผลการดำเนินงาน และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนโดดเด่น จะเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้ภายในประเทศสูงและเป็นกลุ่มเชิงรับ อาทิเช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มการแพทย์และกลุ่มพาณิชย์ สำหรับหุ้นแนะนำแบ่งออกเป็น 4 กลยุทธ์คือ
- Value Stock เน้นหุ้นมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ปลอดภัยและเติบโตได้ต่อเนื่อง ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ธนาคาร และค้าปลีกอย่างเช่นหุ้น AOT, BBL และ CPALL เป็นต้น
- Dividend Stock หุ้นที่เน้นการให้ปันผลสร้างกระแสเงินสดให้กับพาร์ตในอุตสาหกรรมอสังหา และพลังงาน เช่นหุ้น AP,BCP และ LHHOTEL เป็นต้น
- Laggard Stock หุ้นที่เน้นราคาปรับขึ้นช้าแต่ผลประกอบการปีหน้าเริ่มส่งสัญญาณบวกได้แก่หุ้น BCH, GPSC และ HMPRO เป็นต้น
- Mid-Small Cap Growth หุ้นที่กำไรจะเติบโตดีและมี Upside Risk ได้แก่ หุ้น AMATA , AU และ INSET เป็นต้น
บริการ Wealth Planning and Family Office
นอกจากการมองอนาคตเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนในปี 2025 แล้วคุณนิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ ยังมาเล่าถึงบริการที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ก็คือ Wealth Planning and Family Office ของ SCB บริการแบบ Holistic Solutions ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกๆ ช่วงอายุไม่ว่าจะในด้านการลงทุนเพื่อสะสมความมั่งคั่ง (Wealth Accumulation) การดูแลให้คำแนะนำในด้านการบริหารจัดการทรัพย์สินเพื่อการส่งต่อของธุรกิจครอบครัวและมรดก (Wealth Planning and Wealth Transfer)
สำหรับบริการนี้ทีมงานจะทำหน้าที่เป็น Family Office เพื่อตอบโจทย์การบริหารจัดการทรัพย์สินการส่งต่อธุรกิจครอบครัวและมรดกในรูปแบบการแนะแนวทาง (Navigate) การดูแลอำนวยความสะดวก (Facilitate) และให้คำแนะนำในเบื้องต้น (Initial Advice) ให้กับสมาชิกในครอบครัวโดยครอบคลุมในทุกๆ รุ่น เช่น “การวางรากฐานแนวความคิดของครอบครัว” “แนวการดำเนินการธุรกิจครอบครัว” และ “การเชื่อมต่อจากรุ่นสู่รุ่น” “ธรรมนูญครอบครัว” “สัญญาก่อนสมรส” “บัญชีทรัพย์สิน” “พินัยกรรม” “พินัยกรรมชีวิต” “การขจัดความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัว”
ด้านธุรกิจครอบครัว (Family Business) จะเป็นการให้คำแนะนำในด้านการ”วางแผนจัดตั้งบริษัท Holding” การ “จัดตั้งบริษัทเพื่อการลงทุน” การ “ต่อยอดในธุรกิจเดิม” และ “การขยายในธุรกิจใหม่” (New S-Curve) การวางแผนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO : Initial Public Offering) การควบรวมกิจการ (M&A) “การวางแผนเพื่อการปกป้องกันธุรกิจครอบครัวไม่ให้ตกเป็นของบุคคลภายนอก” และอื่นๆอีกมากมาย เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตนั่นเอง