ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาการ “รีไซเคิลพลาสติก” ถูกยกให้เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยโลกจากวิกฤตขยะล้นเมืองได้ แต่เอาเข้าจริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม เพราะรู้หรือไม่ว่าปัจจุบันมีพลาสติกแค่ไม่ถึง 9% ทั่วโลกที่ถูกรีไซเคิลจริง ๆ ที่เหลือก็ไปลงเอยที่หลุมฝังกลบ โรงเผา หรือไม่ก็กลายเป็นมลพิษในระบบนิเวศ รวมถึงกลายเป็นโมเลกุลพลาสติกเล็กๆในร่างกายของสัตว์รวมถึงอยู่ในร่างกายของมนุษย์เราด้วย
ความจริงอันโหดร้ายนี้ส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคน ทั้งนักการตลาด เจ้าของธุรกิจ แบรนด์ต่าง ๆ ไม่ใช่แค่ในเรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาวและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นั่นส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาประเด็น “รีไซเคิลพลาสติก” ถูกนำมาพูดถึงกันอีกครั้งว่ามันไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพเลยในการแก้ปัญหาขยะพลาสติกและยิ่งไปกว่านั้นมีการนำเรื่องนี้มาใช้ทำการตลาดที่สร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้บริโภคด้วยซึ่งจะเล่าให้ฟังในบทความนี้
ความจริงของการ “รีไซเคิลพลาสติก”
จริง ๆ แล้วปัญหาเรื่องการรีไซเคิลพลาสติกมันซับซ้อนกว่าที่คิดมาก และวิธีการนี้เป็นปัญหาอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันและบางครั้งอาจจะต้องสร้างการตระหนักรู้กันให้มากกว่านี้ว่าการ “รีไซเคิลพลาสติก” นั้นเป็นวิธีการที่ไม่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการจัดการกับขยะพลาสติก และเรื่องของการรีไซเคิลพลาสติกนั้นอาจเป็นเพียง “การตลาด” ที่ทำให้เรายังใช้พลาสติกต่อไปและเป็นเหตุผลให้ผู้ผลิตยังคงพลิตพลาสติกขายต่อไปได้
ปัญหาแรกคือการ “รีไซเคิลพลาสติก” นั้นทำได้ยากกว่าที่เราคิดมาก เพราะมีพลาสติกแค่ไม่กี่ชนิดที่รีไซเคิลได้ง่ายและกระบวนการไม่ซับซ้อนเช่น PET (#1) ที่ใช้ทำขวดน้ำหรือบรรจุภัณฑ์อาหาร กับ HDPE (#2) ที่ใช้ทำขวดนม ขวดน้ำยาซักผ้า ถุงพลาสติกบางชนิด พลาสติกจำพวกนี้รีไซเคิลง่ายกว่าพลาสติกแบบอื่น แต่พลาสติกประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างเช่น กล่องพลาสติกใสหรือกล่องโฟม (#6) หรือบรรจุภัณฑ์ที่มีวัสดุซ้อนกันๆหลายชั้นๆ จะรีไซเคิลไม่ได้เลย หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องใช้กระบวนการพิเศษเฉพาะทางที่ทำยากมาก ๆ แถมพลาสติกที่รีไซเคิลได้เองสุดท้ายก็ต้องถูกส่งไปฝังกลบอยู่ดี เพราะการคัดแยกไม่ถูกต้อง มีการปนเปื้อน หรือขาดโครงสร้างพื้นฐานที่ดีพอ
อีกปัญหาของการรีไซเคิลพลาสติกก็คือเรื่อง “ต้นทุน” ที่สูงมาก กระบวนการรีไซเคิลพลาสติกจะไม่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจเลยเมื่อเทียบกับการผลิตพลาสติกใหม่เอี่ยม ๆ เพราะเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใช้ผลิตพลาสติกใหม่จะมีราคาถูกกว่า โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับพลาสติกรีไซเคิลที่มีต้นทุนของการเก็บรวบรวม คัดแยก และแปรรูปที่สูงกว่ามาก ทำให้โรงงานรีไซเคิลหลายแห่งอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเงินอุดหนุนหรือกฎหมายควบคุม สุดท้ายก็รีไซเคิลได้น้อยลง ขยะก็เลยเพิ่มขึ้นนั่นเอง
อีกปัญหาของพลาสติกรีไซเคิลก็คือ “คุณภาพลดลง” เพราะ “พลาสติก” ไม่เหมือนแก้วหรืออลูมิเนียมที่รีไซเคิลได้ไม่รู้จบโดยที่คุณภาพไม่ลดลง แต่พลาสติกจะเสื่อมคุณภาพลงเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่รีไซเคิล กระบวนการนี้เรียกว่า “Dowcycling” หรือ “Cascading” ซึ่งหมายความว่าพลาสติกรีไซเคิลมักจะถูกนำไปใช้ทำผลิตภัณฑ์คุณภาพต่ำกว่าเดิม เช่น เส้นใยเสื้อผ้า หรือวัสดุก่อสร้าง สุดท้ายพอหมดอายุการใช้งานก็รีไซเคิลไม่ได้อีก กลายเป็นปัญหาขยะวนลูปไม่รู้จบต่อไปนั่นเอง
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันก็คือผู้บริโภคยังคงมี “ความเข้าใจผิด” อยู่ เพราะที่ผ่านมาเป็นสิบ ๆ ปีที่ผู้บริโภคถูก “การตลาด” ทำให้เชื่อว่าพลาสติกส่วนใหญ่รีไซเคิลได้ ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกปลูกฝังโดยแคมเปญโฆษณาของภาคอุตสาหกรรม แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น สัญลักษณ์รีไซเคิลลูกศรหมุนเป็น 3 เหลียมบนบรรจุภัณฑ์พลาสติกมากมายทำให้คนเข้าใจผิดและบวกกับการขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ทำให้เกิดพฤติกรรม “wish-cycling” คือทิ้งของที่รีไซเคิลไม่ได้ลงไปในถังขยะรีไซเคิลเกิดการปนเปื้อนและทำให้กระบวนการรีไซเคิลทั้งหมดมีประสิทธิภาพลดลงนั่นเอง
บทเรียนจาก ExxonMobil
ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่กำลังถูกพูดถึงในเวลานี้และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะธุรกิจต่าง ๆ เหตุผลเพราะกระแสข่าวของ ExxonMoile บริษัทปิโตรเคมียักษ์ใหญ่ที่ “รัฐแคลิฟอร์เนีย” ฟ้องร้องโดยกล่าวหาว่าทำแคมเปญหลอกลวงประชาชนเกี่ยวกับการรีไซเคิลพลาสติกมายาวนานนับ 10 ปี ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นบทเรียนสำคัญให้กับแบรนด์ในยุคนี้ก็ว่าได้
ExxonMobile ถูกรัฐ California ฟ้องร้องในข้อหาหลอกลวงประชาชนเรื่องการรีไซเคิลพลาสติกในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดพลาสติกของตัวเองว่าสามารถรีไซเคิลได้ ทั้งที่รู้ว่าขยะพลาสติกส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกรีไซเคิลจริง ๆ โดยเฉพาะข้อมูลในสหรัฐอเมริกาที่พบว่ามีขยะพลาสติกไม่ถึง 5% ที่ถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกใหม่ได้
นอกจากนี้ ExxonMobile ยังโฆษณาว่า “เทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูง” หรือกระบวนการรีไซเคิลทางเคมี สามารถมาช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติกได้ แต่จริงๆแล้ววิธีนี้กลับไม่ได้ผล เพราะขยะพลาสติกส่วนใหญ่ที่เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลขั้นสูงนี้ถูกนำไปทำเป็นเชื้อเพลิงแทนที่จะเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกใหม่จึงไม่สามารถเรียกได้ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องมลพิษพลาสติกได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้บริษัทยังให้ทุนสนับสนุนแคมเปญโฆษณาที่บอกว่าการรีไซเคิลพลาสติกเป็นทางออกที่ยั่งยืนในการแก้ปัญหาขยะพลาสติกด้วย และแน่นอนว่า ExxonMobile ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการหลอกลวงคนว่าพลาสติกรีไซเคิลง่าย และเป็นผลดีกับตัวบริษัทเองที่ผลิตพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งออกสู่ตลาดมากมายมหาศาลในแต่ละปี

สำหรับนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจ เรื่องราวของ ExxonMobil ครั้งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความโปร่งใสและความรับผิดชอบ โดยเฉพาะบรรดาบริษัทหรือแบรนด์ที่ใช้เรื่องนี้มาทำการตลาดที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนควรจะต้องหลีกเลี่ยง “Greenwashing” หรือการโฆษณาเกินจริงเกี่ยวกับความยั่งยืน และหันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนที่แท้จริงและที่สำคัญต้องวัดผลได้ เพราะว่าผู้บริโภคยุคนี้ฉลาดขึ้น รู้จักตรวจสอบความพยายามด้านความยั่งยืนของบริษัทมากขึ้น ซึ่ง “ความเชื่อมั่น” ที่มีต่อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งก็สามารถพังทลายลงได้อย่างรวดเร็วถ้าคำมั่นที่ให้ไว้ไม่ใช่เรื่องจริง
คำถามก็คือนักการตลาด เจ้าของธุรกิจ และแบรนด์ต่าง ๆ ต้องทำอย่างไร นี่คือ 4 เรื่องสำคัญที่สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่วันนี้เพื่อช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติกล้นโลกอย่างในปัจจุบันอย่างยั่งยืน
1.ต้องกล้าเปลี่ยน
แบรนด์ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ โดยเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่ยั่งยืนมากกว่าการใช้พลาสติก เช่น วัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ หรือวัสดุที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ ออกแบบผลิตภัณฑ์โดยคำนึงถึงการรีไซเคิลตั้งแต่แรก เลือกที่จะใช้ส่วนประกอบที่เรียบง่าย หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุผสมเพื่อให้การรีไซเคิลทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ บริษัทควรลงทุนในโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น บรรจุภัณฑ์แบบเติม และระบบที่นำวัสดุกลับมาใช้ประโยชน์ เพื่อลดปริมาณขยะเป็นต้น
2.ต้องโปร่งใส ตรงไปตรงมา
สร้างความเชื่อมั่นด้วยการสื่อสารอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความพยายามด้านความยั่งยืน บริษัทควรเปิดเผยข้อจำกัดของระบบรีไซเคิลในปัจจุบัน และให้ความรู้ผู้บริโภคเกี่ยวกับการคัดแยกขยะและการลดขยะอย่างถูกวิธี การสื่อสารการตลาดและการมีฉลากผลิตภัณฑ์ที่โปร่งใสจะช่วยให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและส่งเสริมการเลือกใช้สินค้าอย่างรับผิดชอบ
3.ต้องร่วมมือเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ธุรกิจควรสนับสนุนและปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ส่งเสริมความรับผิดชอบของผู้ผลิตและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านรีไซเคิล การกำหนดเป้าหมายความยั่งยืนร่วมกัน การสนับสนุนนวัตกรรมเทคโนโลยีรีไซเคิล จะช่วยให้อุตสาหกรรมสามารถสร้างโซลูชันที่ได้มาตรฐานและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ความร่วมมือในการส่งเสริมแนวทางที่ยั่งยืนตลอด supply chain จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาขยะพลาสติกได้อย่างแท้จริง
4.ทุกอย่างต้องวัดผลได้จริง
ความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนและการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ดังนั้นธุรกิจต้องติดตามผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของตัวเอง และเผยแพร่รายงานความยั่งยืนที่ได้รับการตรวจสอบจากองค์กรอิสระอย่างสม่ำเสมอ รายงานเหล่านี้ควรเน้นถึงความสำเร็จ ปัญหาที่พบ และแผนงานในอนาคต การเตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบใหม่ ๆ และการใช้ประโยชน์จากวัสดุที่หลากหลายจะช่วยให้ธุรกิจปรับตัวได้และเป็นผู้นำในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไป
ในประเด็นเรื่อง “พลาสติกรีไซเคิล” ครั้งนี้ที่เราพบว่าไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาขยะพลาสติกล้นโลก อาจไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป แต่การถกเถียงที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะเป็นเหมือนกับการ “สร้างความตระหนักรู้” ให้เกิดขึ้นในสังคม ทำให้แบรนด์ และธุรกิจด้านต่างๆให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นไม่ใช่เพียงแค่การทำ Green Washing เท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสให้แบรนด์ได้วาง Position ของตัวเองใหม่ได้ด้วยกลยุทธ์อย่างลดการพึ่งพาพลาสติก ลงทุนในนวัตกรรม แก้ปัญหาขยะพลาสติกอย่างจริงจัง และสื่อสารอย่างโปร่งใสจริงใจกับผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง