เทรนด์ใหม่ผู้บริโภค.. ไม่เน้นสกินแคร์ เปลี่ยนบัดเจ็ทในมือหันมาทำ ‘หัตถาการเสริมความงาม’ กับแพทย์มากขึ้น ทำตลาดคลินิกความงามโตแบบดับเบิ้ล

  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ในยุคหนึ่งของการทำหัตถการหรือการทำศัลยกรรมความงาม ดูจะเป็นที่เรื่องที่ต้องปิดงำไว้ บอกใครไม่ได้ แต่มาวันนี้ที่ยุคสมัยเปลี่ยนไป การทำสิ่งเหล่านี้เปิดเผยมากขึ้น พร้อมกับเทรนด์ของความงามที่เปลี่ยนไป ไม่มีอีกแล้ว Beaty Standard แต่ทุกคนสามารถสวยในแบบที่เป็นตัวเองได้ ทำให้อุตสาหกรรมในกลุ่มนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เราลองมากางภาพใหญ่ของตลาดนี้กันดูว่าน่าสนใจแค่ไหน

 

มูลค่าตลาด 70,000 ล้าน เติบโตทุกปีแบบ ‘ดับเบิ้ลดิจิ’

ทั้งนี้ ข้อมูลตลาดภาพรวมการเติบโตอุตสาหกรรมคลินิกความงามในประเทศไทย พบว่าสูงถึง มูลค่าตลาดของนี้จะใหญ่ถึง 70,000 ล้านเลยทีเดียว โตมาตลอด และมีการคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตถึงปีละ 10% เรียกว่า ดับเบิ้ลดิจิ โดยปัจจัย ที่ทำให้เติบโต ได้แก่
• การเติบโตของ Aging Society
• เทรนด์ Wellness Tourism
• บทบาท Social Media ที่ผู้บริโภคกล้าที่จะเปิดเผยตัวตนและเป็นตัวเองมากขึ้น

ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ความงามของโลก โดย ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ศูนย์กลาง (Hub) การแพทย์ความงามที่สําคัญของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา (อันดับ 1) เกาหลีใต้ (อันดับ 2) จีน (อันดับ 3) และบราซิล (อันดับ 4) และไทย (อันดับ 5)

นอจากนี้ ยังพบแนวโน้มที่น่าสนใจของบริษัทยาในต่างประเทศ (ด้านเสริมความงาม) ตัดสินใจหันมาลงทุนที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอดีตจะเป็นดิสทริบิวเตอร์ไทยนำยาเข้ามาขาย แต่ตอนนี้เริ่มเห็นบริษัทยาต่างประเทศมาเปิดสาขาที่เมืองไทยขายเองเลย

พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เปิดกว้างและยอมรับมากขึ้น

ทิศทางผู้บริโภค พบว่า แม้ประชากรไทยมีแนวโน้มจะลดลงในช่วงปี 2024 -2040 แต่รายได้เฉลี่ยของประชากรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 60.3% ทําให้เกิดกําลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้นในกลุ่มประชากรในเมือง (Urban residents) อีกทั้ง การที่ผู้คนเปลี่ยนความคิดต่อการทำหัตการและการทำศัลยกรรมว่า เป็นเรื่องที่สามารถเปิดเผยได้ ไม่ใช่เรื่องผิด และสามารถพูดคุยสอบถามได้ ซึ่งเป็นที่มาของการที่ผู้คนมักถามกันในกลุ่มเพื่อนหรือคนใกล้ตัวว่า “หมอไหน” หรือทำกับหมอคนไหนทำหน้ากับคลินิกไหนนั่นเอง
ขณะที่ภาครัฐก็ผลักดันเรื่องนี้มากเช่นกัน โดยประเทศไทยได้รับการผลักดันจากภาครัฐให้เป็นศูนย์กลางการแพทย์ความงามของโลกพร้อมกับนโยบายกระตุ้นซอฟต์พาวเวอร์ ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากขึ้น

 

จับ Insight ผู้บริโภคเปลี่ยนเทรนด์สู่การเสริมความงาม

อย่างไรก็ตาม พบ Insight ที่น่าจับตาว่า “ตลาดบิวตี้” (พวกสกินแคร์) ที่มูลค่ากว่า 300,000 ล้าบาท ซึ่งใหญ่กว่า ตลาดคลินิกความงามมาก เริ่มนิ่ง (flatting) มากขึ้น
ผู้คนเริ่มมีแนวคิดใหม่ ในการที่จะเซฟเงิน เซฟบัดเจ็ท ในการซื้อเครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์สกินแคร์บิวตี้ทั้งหลาย แล้วสวิฟท์เงินมาไปทำเสริมความงามแทน
เป็นเทรนด์ที่เริ่มเห็นและมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่มองว่า การมาทำหัตถการพวกนี้เร็วกว่า เห็นผลมากกว่า จิ้มทีเดียวแล้วจบเลยดีกว่าการทาครีมเป็นร้อยๆ กระปุก พร้อมกับการที่มีความถี่เพิ่มมากขึ้น เหมือนกับการกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในการดูแลความงามทั่วๆ ไป (Beaty routine)

เทรนด์ธุรกิจคลินิกความงามและการเติบโต

นอกจากนี้ ในธุรกิจคลินิกความงาม หลักๆ ในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
1. ธุรกิจบริการหัตถการเสริมความงาม
2. ธุรกิจศัลยกรรมความงาม

 

ธุรกิจบริการหัตถการเสริมความงาม (Non-surgical)

• ตลาดในกลุ่มนี้ (ไม่ผ่าตัด) มีสัดส่วน 75% ของมูลค่าตลาด 70,000 ล้านบาท
• กิจกรรมที่ทำ เช่น ฉีดหน้า ยิงเลเซอร์ ทรีตเมนต์ การดูแลสัดส่วนรูปร่าง ทุกอย่างที่ไม่ได้ผ่าตัด
• ผู้บริโภคมีแนวโน้มขยายฐานผู้ใช้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะใน กลุ่มผู้ชาย และ Gen Z
• การใช้บริการหัตถการส่วนใหญ่ผู้บริโภคจะใช้บริการเพื่อการรักษาและบํารุงผิวมากที่สุด ควบคู่กับการใช้บริการหัตถการประเภทอื่น
• ผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกใช้บริการจากสถานบริการที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

ธุรกิจศัลยกรรมความงาม

• ผู้บริโภคมีแนวโน้มให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ กลุ่ม Gen Z และ LGBTQIA+
• กิจกรรมที่ทำ อาทิ เสริมจมูก ผ่าตัด ดูดไขมัน เรียกง่ายๆ ว่าการลงมีดหมอ
• มีสัดส่วนตลาดอยู่ 25%
• ผู้ที่ผ่านการทําศัลยกรรมส่วนใหญ่ยังคงทําศัลยกรรมมากกว่า 1 ประเภท คิดเป็น 65% ของผู้ที่เคยทําศัลยกรรม
• การทําศัลยกรรม “จมูก” และ “ดวงตา” เป็นที่นิยมสูงสุดจากผู้ที่ผ่านการทําศัลยกรรม เสริมความงามมาแล้ว

 

20 Key Player หลักในธุรกิจความงามไทย

• 4,000 แบรนด์คลินิกความงาม ในตลาดประเทศไทย ทั้งหมด
• 20 แบรนด์ใหญ่ ครองสัดส่วนตลาดสูงถึง 25% ทำให้ตลาดนี้มีการแข่งขันที่สูงมาก (Big Brand key player วัดจากแบรนด์ที่มีสาขามากกว่า 10 สาขาขึ้นไป)
• Key point ที่ใช้ในการแข่งขัน 1) เทคโนโลยีหรือนวัตกรรม และ 2) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากเป็นธุรรกิจที่อาศัยความเชื่อถือเป็นหลัก
• อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มรายย่อยแม้จะมีการแข่งขันกันด้านราคาก็จริง แต่ระดับ 20 Top Brand ไม่สนใจในสงครามราคา เนื่องจากต้องการเน้นด้านคุณภาพ และมาตรฐานในการดูแลลูกค้ามากกว่า รวมไปถึงต้องการสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ด้วย

 

การเติบโตของ THE KLINIQUE

จากการที่ ภาพรวมอุตสาหกรรมนี้ มีการเติบโต 10% แต่ THE KLINIQUE เติบโตมากกว่า 2-3 เท่าของอุตสาหกรรม เป็นการเติบโตเหนือตลาด โดยแบ่งการเติบโตเป็น 4 ยูนิต (ข้อมูลของปี 2566) ดังนี้
• 80.7% แผนกผิวหนังและความงาม
• 10.3% แผนกศัลยกรรมตกแต่ง (มีแนวโน้มเติบโตมากที่สุด)
• 6.3% แผนกชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ
• 2.7% แผนกลดน้ำหนักและดูแลรูปร่าง

4กลยุทธ์ ก้าวต่อไปของ THE KLINIQUE

1. การขยายสาขา มีการเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 20 สาขา ในทําเลที่มีศักยภาพ ภายใต้งบลงทุน 500 ล้านบาท ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
2. การพัฒนานวัตกรรมความงาม เน้นนวัตกรรม เทคโนโลยี และความปลอดภัย ด้วยงบลงทุน 200 ล้านบาท สําหรับการเพิ่มเครื่องมือใหม่ๆ
3. การตลาดและการสื่อสาร การเข้าถึงผู้บริโภคแบบ Omnichannel จนเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 85% และต่างชาติประมาณ 15
4. การบริการ พัฒนาด้านบริการให้มีความเฉพาะตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าแต่ละรายและใส่ใจผ่านทีมแพทย์ผู้ชํานาญการที่มีประสบการณ์มากกว่า 100 คน พร้อมพยาบาลกว่า 200 คน รวมถึงพนักงานให้บริการกว่า 1,000 คน

PROUD TO BE “NEW” สู่แคมเปญ “หมอไหน” และ Music Marketing

นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมความงามมีการเติบโต 10% แต่ THE KLINIQUE เติบโตมากกว่า 2-3 เท่าของอุตสาหกรรม เป็นการเติบโตสวนกระแส ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งของ THE KLINIQUE อีกทั้งแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีต่อการทำหัตถการและศัลยกรรมมีมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่มีแนวโน้มเข้ารับบริการในคลินิกเสริมความงามมากขึ้นกว่าเจเนอเรชั่นอื่นๆ ประกอบกับการที่ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ศูนย์กลางการแพทย์ความงามของโลก พร้อมการผลักดันจากภาครัฐในเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ในกลุ่มธุรกิจสุขภาพ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าจะมีผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างประเทศเข้ามารับบริการในคลินิกความงามมากขึ้นเป็นโอกาสเติบโตของอุตสาหกรรมความงาม

“ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความมั่นใจในการตัดสินใจรับบริการหัตถการและศัลยกรรมมากขึ้น กล้าเปิดเผย บอกต่อ และมีความภูมิใจที่ตัวเองดูดีขึ้น ทำให้ เรามีมุมมองในการเข้าถึงผู้บริโภคที่แตกต่างและได้จัดทำแคมเปญ ‘หมอไหน’ Music Marketing ครั้งแรกของอุตสาหกรรมคลินิกความงามจาก THE KLINIQUE ซึ่งได้จับมือกับพันธมิตรค่ายเพลงระดับโลก Warner Music Thailand ปล่อยเพลง ‘หมอไหน’ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยเป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงยุคสมัยที่ผู้บริโภคมีมุมมองเชิงบวกต่อการทำหัตถการและศัลยกรรม ไม่ใช่เรื่องน่าปิดบังอีกต่อไป และสะท้อนให้เห็นถึงการกำหนดความงามด้วยตัวเองของผู้บริโภคที่เลือกจะทำหัตถการหรือศัลยกรรมเพื่อการเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดูดีขึ้น พร้อมทั้งยังเป็นการชูจุดแข็งของ THE KLINIQUE ในเรื่องนวัตกรรมที่ทันสมัยปลอดภัย คุณภาพของบุคลากร รวมถึงงานบริการที่ต้องเป็นสากล เรามีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการมากกว่า 100 คนที่ได้รับการฝึกอบรมทั้งในด้านวิชาการและเทคนิคต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่เสมอ เพื่อทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในคุณภาพของทีมแพทย์ของเรา นอกจากนั้นยังใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียที่ปัจจุบันมีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคนในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการทำหัตถการและศัลยกรรมแบบที่ผู้บริโภคสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคอีกด้วย”

 

สำหรับเพลง “หมอไหน” ขับร้องโดยนักร้องคุณภาพอย่าง น้ำชา ชีรณัฐ ร่วมด้วย อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง นัท นิสามณี โดยมี AUTTA แร็ปเปอร์ขวัญใจคนรุ่นใหม่ร่วมแต่งเพลงและเป็นโปรดิวเซอร์ และได้แขกรับเชิญพิเศษร่วมแสดงในมิวสิควีดิโออย่าง จีน่า The Face Thailand, รัศมีแข, โม จิรัชยา, ฟลุ๊กกะล่อน และจุง อาเชน ไอย์ดึน


  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  
pigabyte
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น มาเรียนรู้และสนุกไปกับบทความ จาก MarketingOops! กันนะคะ แล้วเราจะได้ค้นพบว่าโลกของ Marketing นั้น So Sexy and Cool!