เมื่อคืนนี้ Meta ประกาศปรับฟีเจอร์เกี่ยวกับการรับชมโฆษณาสำหรับผู้ใช้งาน Facebook และ Instagram ในยุโรป ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการ “ปิดตำนานข่าวลือ Facebook ดักฟัง” ไปได้เลยก็ว่าได้ โดยฟีเจอร์ที่ว่านี้ก็คือฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ผู้ใช้งานใน EU เลือกได้ว่า “อย่ายิง Ads ใส่ฉัน” ได้
ฟีเจอร์นี้ก็คือฟีเจอร์ที่ผู้ใช้งานสามารถ “เลือกเห็นโฆษณาที่ Personalize น้อยลง” ได้หรือการไม่ให้ Meta เอาข้อมูลส่วนตัวของเราทั้งหมดไปใช้หารายได้จากโฆษณานั่นเอง นับเป็นการปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้มงวดของ EU มากขึ้น แต่ในอีกมุมเรื่องนี้น่าจะกระทบกับวงการ Digital Marketing ไม่มากก็น้อยหากมีการขยายฟีเจอร์เหล่านี้นำไปใช้ทั่วโลก
สิ่งที่ Meta ปรับเปลี่ยนมีสองเรื่องด้วยกันคือ
1. ตัวเลือกใหม่รับ “โฆษณา personalize น้อยลง”
ชาว EU ที่ใช้ Facebook/Instagram ฟรีอยู่ จะมีตัวเลือกใหม่มาให้เลือกเพื่อให้เราเห็น “โฆษณา personalize น้อยลง” ผลก็คือแม้เราจะยังเห็นโฆษณาอยู่ แต่โฆษณาที่เราเห็นเหล่านั้นจะไม่ตรงกับความสนใจของเราเท่าไหร่นัก ด้วยฟังก์ชั่นนี้จะเป็นการจำกัดข้อมูลที่ Meta จะเอาจากเราไปยิงโฆษณา
เมื่อผู้ใช้งานเลือกฟีเจอร์นี้ ข้อมูลที่ Meta จะนำไปใช้ยิงโฆษณาจะเหลือแค่เพียง Context หรือสิ่งที่ผู้ใช้งานกำลังดูอยู่ใน Facebook และ Instagram ในเวลานั้นเท่านั้น รวมไปถึงข้อมูลบางส่วนเช่น อายุ เพศ ตำแหน่ง และการกดดูโฆษณา เท่านั้น
ถามว่าทำไม Meta ต้องทำ? เหตุผลเพราะกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว และกฎหมายตลาดดิจิทัลในยุโรป (GDPR, DMA) บังคับให้ Meta ต้องให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลส่วนตัวได้มากขึ้น รวมถึงมีทางเลือกในการใช้บริการแบบไม่ถูกยิงโฆษณาตรงจุดมากเกินไป ดังนั้น Meta เลยต้องปรับตัว ไม่งั้นอาจโดนปรับหรืออาจถูกแบนได้
แน่นอนว่าฟีเจอร์ใหม่นี้จะกระทบกับรายได้จากการโฆษณาของ Meta แน่นอน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของ Meta ที่ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างรายได้จากช่องทางที่ทำได้ เช่น เน้นคุณภาพกับโฆษณากับกลุ่มเป้าหมายที่ยังให้ใช้ข้อมูลอยู่ รวมไปถึงใช้เทคโนโลยีอื่นๆที่ไม่ต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้โฆษราตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นเป็นต้น
2. ลดราคาแพ็กเกจ “ไม่มีโฆษณา” ลง
หลายคนอาจไม่รู้ว่าผู้ใช้งาน Facebook และ Instagram ในยุโรปสามารถเลือกใช้งานแบบไม่มีโฆษราได้ด้วยแพคเกจ “ไม่มีโฆษณา” จริงๆ แล้วแพ็กเกจนี้เปิดตัวในยุโรปตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 แล้วโดยตอนนั้นราคาค่อนข้างสูง เริ่มต้นที่ 9.99 ยูโร/เดือน (เว็บ) หรือ 12.99 ยูโร/เดือน (iOS/Android)
แต่ล่าสุด Meta ประกาศลดราคาแพคเกจนี้ลงเหลือ 5.99 ยูโร/เดือน (เว็บ) หรือ 7.99 ยูโร/เดือน (iOS/Android) ถูกลงเกือบครึ่ง
ถามว่าทำไมต้องมีแพ็กเกจแบบไม่มีโฆษณา ก็เพราะกฎหมายของ EU เข้มงวดเรื่องการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล Meta เลยต้องให้ผู้ใช้มีสิทธิ์เลือกว่าจะใช้บริการแบบเดิม (ฟรีแต่มีโฆษณา และ Meta จะใช้ข้อมูลส่วนตัวเพื่อเลือกโฆษณาให้ตรงกับความสนใจ) หรือจะจ่ายเงินเพื่อไม่ต้องดูโฆษณา โดยทางเลือกนี้ Meta จะไม่ใช้ข้อมูลส่วนตัวของเราไปยิงโฆษณาใส่เรา
ถามว่าทำไมต้องลดราคา? ก็ต้องบอกว่าอาจมีหลายเหตุผล ทั้งโดนหน่วยงานกำกับดูแลกดดัน ยอดผู้สมัครน้อยกว่าที่คาด อยากแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่นที่ราคาถูกกว่ามาก และมองว่าระยะยาวอาจเป็นผลดีต่อธุรกิจมากกว่า
ทั้งนี้ทั้งนั้น การปรับกลยุทธ์ครั้งนี้ Meta ตัดสินใจทำด้วยตัวเอง และมีขึ้นในช่วงเวลาที่หน่วยงานกำกับดูแลในยุโรปกำลังพยายามควบคุมบรรดา Big Tech และสร้างความเป็นธรรมให้กับบริษัทขนาดเล็ก ผ่านกฎหมาย Digital Markets Act (DMA) ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ผลกระทบต่อ Digital Marketing ในไทย?
แม้เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นใน EU แต่ก็เป็นสัญญาณว่า “ข้อมูลส่วนบุคคล” กำลังเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ประเทศไทยก็อาจมีกฎหมายแบบเดียวกันนี้ ซึ่งจะส่งผลต่อการทำการตลาดออนไลน์อย่างแน่นอน
ดังนั้นนักการตลาดต้องเริ่มศึกษาและปรับตัวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการหาช่องทางใหม่ๆ ในการเข้าถึงลูกค้า เน้นการสร้าง Content ที่มีคุณภาพ เพื่อดึงดูดความสนใจแบบไม่ต้องพึ่งพาข้อมูลส่วนบุคคล รวมไปถุงศึกษา และทำความเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า Meta กำลังพยายามปรับตัวให้เข้ากับกฎหมาย EU และก็เป็นสัญญาณเตือนให้นักการตลาดในบ้านเราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และหาแนวทางใหม่ๆ ในการเข้าถึงลูกค้า โดยไม่ต้องพึ่งพา 2nd หรือ 3rd Party Data นั่นเอง