ธุรกิจไหนที่กำลังมองว่า “ความหลากหลาย” (Inclusive) อาจจะไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญในกลยุทธ์หรือแคมเปญทางการตลาดเท่าไหร่นัก อาจต้องคิดใหม่ เพราะล่าสุดผลการศึกษาจาก Unstereotype Alliance และ Saïd Business School จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ยืนยันแล้วว่า “โฆษณาแบบ Inclusive” หรือโฆษณาที่นำเสนอเนื้อหาของผู้คนอย่างหลากหลายในเชิงบวก และปราศจากการเหมารวมสามารถทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้ถึง 16%
ทีมวิจัยศึกษาจากการวิเคราะห์แบรนด์ 392 แบรนด์ ใน 58 ประเทศ พบว่า โฆษณาแบบ Inclusive “ช่วยเพิ่มยอดขายระยะสั้น 3.5% และยอดขายระยะยาว 16% เมื่อเทียบกับโฆษณาแบบเดิม”
นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสที่ผู้บริโภคจะเลือกแบรนด์หรือสินค้าเป็นอันดับแรกถึง 62% และเพิ่มความภักดีของลูกค้าได้อีก 15% ที่สำคัญ ประโยชน์เหล่านี้ยังส่งผลต่อเนื่องในระยะยาว ช่วยสร้างชื่อเสียงและมูลค่าแบรนด์ให้แข็งแกร่งขึ้นได้
งานวิจัยนี้ชิ้นนี้ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท เช่น ขนม ของใช้ส่วนตัว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และของใช้ในครัวเรือน โดยใช้ข้อมูลจากสมาชิก Unstereotype Alliance เช่น Bayer Consumer Healthcare, Diageo, Kantar, Mars Incorporated, Mondelez International และ Unilever
ผลการศึกษาครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อลบล้างความเชื่อที่ว่า โฆษณาแบบ Inclusive อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ทำให้หลายแบรนด์ลดความสำคัญของการตลาดแบบ Inclusive ทั้งที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน
นอกจากนี้การวัดผลจาก Kantar BrandZ พบว่า แบรนด์มีโฆษณาที่ได้คะแนนด้าน Inclusive สูงกว่า มีผลลัพธ์ในด้านต่างๆที่ดีกว่าแบรนด์ที่มีคะแนนโฆษณา Inclusive น้อยว่าในหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น
- การพิจารณาซื้อสูงกว่า 33%
- โอกาสในการเป็นตัวเลือกแรกของผู้บริโภคสูงกว่า 62%
- อัตราการทดลองใช้สูงกว่า 8%
- อัตราการเลิกใช้หลังทดลองต่ำกว่า 23%
- อำนาจในการกำหนดราคาสูงกว่า 54%
- ความภักดีของลูกค้าสูงกว่า 15%
จากข้อมูลทั้งหมดทำให้เห็นว่าโฆษณาแบบ Inclusive ไม่ได้แค่สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์แต่ยังสามารถช่วยเพิ่มยอดขาย สร้างความภักดี และเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ในระยะยาวได้ด้วย ดังนั้นแบรนด์และ”ธุรกิจในยุคปัจจุบันนี้จึงควรให้ความสำคัญกับ “ความหลากหลาย” ให้พื้นที่สื่อสารไปถึงทุกคนไม่ว่าจะมีสีผิว รูปร่าง เชื้อชาติ หรือเพศอะไรก็ตาม
ที่มา Amplify by TrendWatching, Think Next Asia
