ในปัจจุบัน กระแสของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากยอดขายที่เติบโต พร้อมๆกับหลากหลายแบรนด์ใหม่ๆที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างคึกคักโดยเฉพาะแบรนด์จากประเทศจีน อย่างไรก็ตามรถยนต์ไฮบริด (Hybrid: PHEV และ PHV) เองก็กำลังได้รับความนิยมไม่แพ้กัน นอกจากยอดขายที่เติบโตขึ้นแล้วยังกำลังจะได้รับการกระตุ้นการลงทุนการผลิตรถยนต์ Hybrid ในประเทศไทยจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่มีแผนปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ Hybrid ให้อยู่ในระดับคงที่จากที่ต้องเพิ่มขึ้นทุก 2 ปี เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2571-2575
สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าจะทำให้การแข่งขันระหว่างรถยนต์ EV ซึ่งได้รับมาตรการสนับสนุนอยู่ก่อนแล้ว กับรถยนต์ Hybrid ดุเดือดมากยิ่งขึ้น ในขณะที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเองก็ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับผู้บริโภคจำนวนมาก ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าปัจจุบันผู้บริโภคมีมุมมองอย่างไรกับรถยนต์ทั้ง 3 ประเภทนี้รวมไปถึงผู้ใช้รถยนต์แต่ละแบบนี้มีทัศนคติและความพึงพอใจกับรถยนต์ที่ใช้อย่างไร?
ล่าสุด บริษัท มาโครมิลล์ เซาท์ อีสต์ เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทวิจัยตลาดที่เชี่ยวชาญภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทำการสำรวจเรื่อง “การสำรวจความสนใจในการใช้รถ EV และ Hybrid ของคนไทย” เป็นการสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคชาวไทยในกรุงเทพฯและปริมณฑล ผ่านทางออนไลน์ ทั้งหมด 1,000 คนระหว่างวันที่ 1-8 ส.ค.ที่ผ่านมา แบบสำรวจออนไลน์เป็นการสอบถามเกี่ยวกับทัศนคติและความพึงพอใจที่มีต่อทั้ง รถน้ำมัน (GV/Diesel) รถไฮบริด ที่รวมทั้ง PHEV และ PHV และรถยนต์ไฟฟ้า (EV/BEV) ซึ่งผลสำรวจทำให้เราได้เห็นมุมมองของผู้บริโภค รวมถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความพึงพอใจรวมถึงความไม่พึงพอใจกับรถยนต์ทั้ง 3 รูปแบบนี้ได้อย่างชัดเจน
รถน้ำมันครองแชมป์ระยะขับขี่ ในขณะที่ Hybrid และ EV เด่นเรื่อง Eco-friendly
คนทั่วไปเห็นตรงกันว่าทั้งรถ Hybrid และ EV ดูดีในเรื่อง Eco-friendly มากกว่ารถน้ำมัน
สำหรับภาพจำของคนทั่วไปที่มีต่อรถน้ำมันนั้น ผลสำรวจพบว่า 1. ขับขี่ได้ในระยะไกล 2. ใช้ได้ทุกสภาพถนน 3. มีอัตราเร่งดี 4. น่าเชื่อถือ 5. เติมน้ำมันได้ง่าย ในขณะที่ฝั่งของรถ Hybrid และ EV นั้นภาพจำที่พบในอันดับต้นๆ คือ1. เรื่อง Eco-friendly 2. ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และ 3. เงียบ มีการสั่นและมีเสียงรบกวนน้อย
อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มตัวอย่างที่สำรวจมุมมองที่มีต่อ Hybrid และ EV จะมีภาพจำที่ตรงกันใน 3 อันดับแรก คือเรื่อง Eco-friendly, เทคโนโลยี และความเงียบ แต่ทั้ง EV และ Hybrid ก็มีภาพจำที่แตกต่างกันให้เห็นใน 2 อันดับท้ายของผลสำรวจ โดยรถ Hybrid จะเน้นในเรื่อง “การใช้งาน” เป็นหลัก เช่น 1. เติมน้ำมัน/ชาร์จได้ง่าย และ2. มีการใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพดี ในขณะที่รถ EV มีภาพจำที่เด่นในเรื่อง “ภาพลักษณ์” ก็คือเรื่องของ 1. เป็นที่นิยม/กำลังมาแรง และ 2. มีการออกแบบที่ดี
ผลสำรวจเผย เจ้าของรถ Hybrid พอใจกับรถตัวเองมากกว่าเจ้าของรถ EV
แม้เจ้าของรถน้ำมันยังถือเป็นกลุ่มผู้ใช้ส่วนมากในประเทศไทยอยู่ แต่กลุ่มผู้ใช้รถ Hybrid และ EV เองก็มีจำนวนผู้ใช้ที่เติบโตขึ้นในทุกๆ ปี ด้วยเหตุนี้ ทีมสำรวจจึงได้ทำการสอบถามไปยังเจ้าของรถ Hybrid และ EV ถึงความพึงพอใจในรถของตนเองด้วย และ จากผลสำรวจความพึงพอใจของทั้งเจ้าของรถ Hybrid และ EV พบว่า เจ้าของรถHybrid มีความพึงพอใจโดยรวมถึง 98% ในขณะที่รถ EV มีความพึงพอใจโดยรวมเพียง 83.8% เห็นได้ชัดว่าเจ้าของรถ Hybrid พอใจในการใช้งานมากกว่าเจ้าของรถ EV
เมื่อทีมสำรวจถามถึงเหตุผลของความพึงพอใจ เจ้าของรถ Hybrid และ EV มีสิ่งที่เห็นตรงกันใน 3 อันดับแรกคือ 1. Eco-friendly 2. ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และ 3. เงียบ มีการสั่นและมีเสียงรบกวนน้อย ถือได้ว่า 3 อันดับแรกของผลสำรวจนี้ออกมาตรงกับผลสำรวจของกลุ่มคนทั่วไป
สำหรับอันดับต่อๆ มา ของกลุ่มผู้ใช้รถ Hybrid มีความพึงพอใจในเรื่องของ 1. ขับขี่สบาย และ 2. เติมน้ำมัน/ชาร์จได้ง่าย ขณะที่กลุ่มผู้ใช้รถ EV พึงพอใจในเรื่อง 1. สามารถใช้ประโยชน์จากเงินอุดหนุนและสิ่งจูงใจทางภาษีได้และ 2. สามารถชาร์จที่บ้านได้ จึงเป็นไปได้ว่ามาตรการลดหย่อนภาษีที่ลดภาษีลง 80% เป็นระยะเวลา 1 ปี ส่งผลให้หลายคนตัดสินใจเลือกเป็นเจ้าของรถ EV อยู่ไม่น้อย นั่นหมายความว่าหากในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงในมาตรการลดหย่อนภาษี หรือมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ สำหรับรถ EV ก็อาจส่งผลต่อความพึงพอใจในหมู่ผู้ใช้รถEV ได้
เจ้าของรถ EV ที่ไม่ปลื้มรถตัวเองมากกว่าเจ้าของรถ Hybrid เหตุราคาซื้อขายยังไม่ดี และจุดชาร์จไม่มากพอ
เท่านั้นยังไม่พอทีมสำรวจยังได้ทำการสอบถามผู้ใช้รถ Hybrid และ EV ถึง “ความไม่พึงพอใจ” ที่มีต่อรถของตัวเองด้วย และผลสำรวจก็พบความรู้สึกที่ตรงกันของทั้งเจ้าของรถ Hybrid และ EV ก็คือ 1. ราคาแพง และ 2. ราคาการขายต่อต่ำ
นอกจากนี้ ในอันดับสำรวจของรถ Hybrid ยังมีความไม่พอใจในเรื่องของการบำรุงรักษา ทั้งในเรื่อง ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และ ความยุ่งยากในการบำรุงรักษา อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจก็ยังพบกลุ่มผู้ใช้รถ Hybrid จำนวนไม่น้อยที่ “ไม่มีเรื่องที่ไม่พอใจ” ซึ่งอยู่สูงถึงอันดับ 2 ของผลสำรวจ จึงถือได้ว่าเจ้าของรถ Hybrid ค่อนข้างพอใจกับรถของตนเองเมื่อเทียบกับเจ้าของรถ EV
เมื่อมาดูที่ผลสำรวจของรถ EV แล้ว สิ่งที่ทำให้ผู้ใช้ EV ไม่พอใจในอันดับต้นๆ คืออันดับ 1. มีจุดชาร์จน้อย 2. เวลาในการชาร์จ 3. ระยะขับสั้น แม้ว่าสิ่งเหล่านี้กำลังได้รับการปรับปรุงขึ้นเรื่อยๆ แต่จากผลสำรวจก็ได้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาเหล่านี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขมากพอที่จะทำให้เจ้าของรถ EV พอใจนัก
จากผลการสำรวจนี้ ในภาพรวมเห็นได้ชัดว่ารถ EV ยังมีปัญหาในแง่ของความสะดวกในการชาร์จรถ ทั้งจุดชาร์จที่ยังไม่มากพอ และระยะเวลาในการชาร์จ จุดนี้เองที่ส่งผลให้เจ้าของรถ Hybrid รู้สึกพึงพอใจกับรถของตัวเองมากกว่า แต่ทั้งนี้ในการเลือกเป็นเจ้าของรถประเภทใดประเภทหนึ่งแล้ว อาจต้องมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นการใช้รถในระยะใกล้/ไกล ความถี่ในการใช้รถ สถานที่อยู่อาศัยของเจ้าของรถ ที่ล้วนส่งผลต่อการเป็นเจ้าของทั้งสิ้น แน่นอนว่าสิ่งที่กลุ่มตัวอย่างยังไม่พอใจในปัจจุบัน อาจได้รับการแก้ไขหรือปรับปรุงในอนาคต เช่น จุดชาร์จที่อาจเพิ่มมากขึ้น หรือราคาที่อาจปรับลงตามวัฏจักรสินค้าประเภทเทคโนโลยี และเมื่อถึงตอนนั้น ก็อาจส่งผลให้ความสนใจในรถ EV เพิ่มมากขึ้นในภายหลัง อย่างไรก็ตาม ในฝั่งของรถ Hybrid เองก็กำลังจะก้าวเข้ามาเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับคนที่ยังใช้รถน้ำมัน และยังไม่อยากเปลี่ยนไปใช้รถ EV แบบเต็มตัวเช่นกัน
ทั้งนี้การวิจัยครั้งนี้ จัดทำโดย บริษัท มาโครมิลล์ เซาท์ อีสต์ เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด เป็นการสำรวจเชิงปริมาณออนไลน์ ระหว่างวันที่ 2 – 9 สิงหาคม กับกลุ่มตัวอย่างผู้ชายและผู้หญิง อายุ 20-49 ปีที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพ และปริมณฑล
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบบสำรวจนี้ ได้ที่บริษัท มาโครมิลล์ เซาท์ อีสต์ เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด อีเมล: info@macromillsea.com