ตลาดอาหารรักสุขภาพในประเทศไทยในปี 2566 ที่ผ่านมา อาหารจากพืช (Plant-based Food) ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จากเทรนด์ผู้บริโภคที่เริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพ ลดการทานเนื้อสัตว์ โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยระบุว่า ในปี 2567 คาดว่าตลาด Plant-based Food จะมีมูลค่าสูงถึง 4.5 หมื่นล้าน และโตต่อเนื่องกว่า 1 ล้านล้านบาทในปี 2570
มองในมุมที่แคบลงมาในตลาด Plant-based Food ถ้าพูดถึงนมทางเลือกที่ไม่ใช่นมวัว นมโอ๊ตมีอัตราการเติบโตที่สูงที่สุด มากกว่านมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลือง เนื่องจากรสชาติที่อร่อยและดื่มง่ายกว่า
สำหรับนมโอ๊ตแบรนด์จากสิงคโปร์อย่าง OATSIDE (โอ๊ตไซด์) นั้น ได้เข้ามาทำตลาดในบ้านเราประมาณ 2 ปีแล้ว ด้วยผลิตภัณฑ์ขนาด 1 ลิตร ดังนั้น ที่ผ่านมารายได้ประมาณ 90% จึงมาจากเซกเมนต์ Food Service เช่น ร้านกาแฟ เบเกอรี่ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ล่าสุด OATSIDE เดินหน้ากลยุทธ์การตลาดเพิ่มการเข้าถึงและขยายฐานผู้บริโภคในทุกเซกเมนต์ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ในกลุ่มรีเทล โดยส่งโอ๊ตไซด์ซีรีส์ใหม่ OATSIDE Mini ขนาด 200 มิลลิลิตรใน 3 รสชาติ ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบนมพืชและไม่ชอบนมพืชในคราวเดียวกัน ได้แก่ รสออริจินัล, รสกาแฟ และรสช็อกโกแลต
ทั้งนี้จุดขายของแบรนด์ OATSIDE อยู่ที่รสชาติ ความอร่อย ความเข้มข้น มันนัว และการทำแบรนดิ้งที่ต้องการเข้าถึงผู้บริโภคโดยกว้าง ขณะที่แบรนด์คู่แข่งอาจสื่อสารกับกลุ่มรักสุขภาพ แต่ OATSIDE พยายามเข้าถึงกลุ่ม Gen Z หรือมิลเลนเนียล เพราะอยากดึงกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆ เข้ามาช่วยสร้างการเติบโตให้ตลาดของนมพืชโดยรวม ซึ่งทาง คุณซินดี้ ลิน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ OATSIDE นั้น คาดว่าการเติบโตของรายได้จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวใน 1-2 ปี เหมือนตอนออกขนาดใหม่ที่สิงคโปร์

ด้านคุณลลิตกาญจน์ ทวีชัยวัฒนะ ผู้อำนวยการ OATSIDE ประเทศไทย กล่าวว่า OATSIDE Mini จะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคทุกเซกเมนต์ ด้วยขนาดที่เหมาะกับการพกพา ดื่มได้ทุกวันทุกเวลาตามที่ต้องการ และยังมีกล่องที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ดูสนุก โดย OATSIDE มีแผนงานและนโยบายที่จะขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมและเข้าถึงผู้บริโภคคนไทยมากยิ่งขึ้น
OATSIDE Mini จะมีวางจำหน่ายเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ที่ร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศไทย ในราคากล่องละ 25 บาท