วันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก Agoda แพลทฟอร์มที่คนไทยใช้จองที่พักเวลาไปเที่ยวที่ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว ในปัจจุบัน Agoda เป็นหนึ่งในธุรกิจของ Booking Holdings ที่ครองตลาดเอเจนซี่ท่องเที่ยวผ่านระบบออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งชื่อของ Agoda ถูกพูดถึงอีกครั้งเมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนสำนักงานของ Agoda ที่ The Office Central World เมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมาเพื่อย้ำถึงวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันระหว่าง Agoda กับรัฐบาลไทยในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Silicon Valley แห่งใหม่ในเอเชีย รวมถึงความร่วมมือกันเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้ยกระดับมากยิ่งขึ้นอีก
ซึ่งในงานมี คุณอีเวาต์ สตีนเบอร์เกน Executive Vice President และ CFO จาก Booking Holdings รวมถึงคุณออมรี มอร์เกนสเติร์น CEO ของ Agoda มาร่วมงานและยืนยันที่จะสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของภูมิภาค รวมถึงผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เติบโตมากยิ่งขึ้น

แม้หลายคนจะรู้จัก Agoda กันอยู่แล้วแต่ในบทความนี้จะมาทำความรู้จัก Agoda กันให้มากขึ้นในมุมที่อาจจะยังไม่เคยรู้กันมาก่อน
จาก “บริษัททัวร์ในภูเก็ต” สู่ “เว็บไซต์จองโรงแรม”
จุดเริ่มต้นธุรกิจของ Agoda ในปัจจุบันเริ่มต้นจากคุณ Michael Kenny ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวจนเปิดบริษัททัวร์ที่มีชื่อว่า Tropical Trails บริษัทให้บริการทัวร์ด้วยจักรยานเสือภูเขาในจังหวัดภูเก็ต ในช่วงปีค.ศ. 1996 หรือเมื่อ 28 ปีก่อน
อีก 1 ปีต่อมาในปี 1997 ปีที่เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตเริ่มพัฒนามากขึ้น Kenny มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจาก painpoint ของลูกค้าโรงแรมทั่วโลกที่ไม่สามารถหาโรงแรมราคาดีๆได้ จึงตัดสินใจใช้ความสัมพันธ์ที่มีจากการทำบริษัททัวร์ดีลกับโรงแรมต่างๆเพื่อให้ได้สิทธิห้องพักมาทำตลาดสู่ลูกค้าผ่านเว็บไซต์
ในเวลานั้น Kenny กลายเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจรูปแบบนี้เป็นรายแรกในประเทศไทย และก็กลายเป็นจุดกำเนิดของ PlanetHoliday.com ที่มีลูกค้ารายแรกๆจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ค้นพบบริการจากเซิร์ชเอ็นจิ้นอย่าง Google เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ในเวลานั้นสำนักงานยังคงอยุ่ที่จังหวัดภูเก็ต
ฝ่าวิกฤตย้ายสำนักงานสู่ “กรุงเทพฯ”
ในปี 1998 PlanetHoliday.com เริ่มมีคู่แข่งมากขึ้น เกิดธุรกิจที่มี Business Model แบบเดียวกันเกิดขึ้นมามากมายโดยเฉพาะในปี 1999 ที่บางเว็บไซต์ถึงกับก็อปปี้ข้อมความและกราฟฟิคจาก PlanetHoliday.com ไปใช้กันดื้อๆ ในทางหนึ่งเป็นผลกระทบกับธุรกิจ แต่ในอีกแง่หนึ่งคุณ Kenny ก็มองว่าการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงเป็นบทพิสูจน์ว่าธุรกิจกำลังเดินมาถูกทาง อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆพร้อมๆกับเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่พัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง
คุณ Kenny พัฒนาธุรกิจต่อไปโดยในปี 2000 เริ่มขยาย Inventory ของโรงแรมออกไปสู่หลายๆประเทศในภูมิภาคเอเชีย และเริ่มนำกลยุทธ์โฆษณาแบบ pay-per-click รวมไปถึงบริการลูกค้าผ่าน online chat มาใช้ซึ่งก็ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ Agoda มาจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวมก็เจอวิกฤตด้วยเช่นกันโดยเฉพาะจากเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 รวมไปวิกฤตโรค SARS ระบาด ในช่วงเวลาเดียวกันนี้คุณ Kenny ก็ต้องฝ่าวิกฤตด้วยการปรับตัวครั้งใหญ่หนึ่งในนั้นคือการย้ายสำนักงานมายังกรุงเทพมหานครในช่วงต้นปี 2002 เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานเหมาะกับการทำธุรกิจรวมถึงเพื่อให้สามารถเฟ้นหาคนทำงานที่มีความสามาาถเข้าสู่บริษัทได้
โมเดลธุรกิจใหม่สู่จุดกำเนิด Agoda

ในปี 2003 คุณ Kenny ได้ไอเดียธุรกิจใหม่ในการจองโรงแรมอีกครั้งโดยเปิดเว็บไซต์ PrecisionReservations.com เป็นโมเดลธุรกิจในฐานะ Affiliate แพลทฟอร์มในการจองโรงแรมสำหรับเว็บไซต์หรือบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์อื่นๆ โดยในเวลานั้นเว็บไซต์นี้มีลูกค้าจำนวนมากกว่า 1,000 เว็บไซต์ที่ใช้บริการของ PrecisionReservations.com
หลังจากนั้นในปีเดียวกัน Kenny ร่วมกับเพื่อนผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ที่รู้จักกันมานานอย่าง Robert Rosenstein ก็ตัดสินใจรวม PlanetHoliday.com และ PrecisionReservations.com เอาไว้ด้วยกันภายใต้บริษัท Agoda Company Pte. Ltd โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ และออฟฟิสปฏิบัติการอยู่ในกรุงเทพมหานคร ในเวลานั้น Rosenstein ได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง COO ของบริษัท ก่อนที่จะรวมบริการทั้งหมดไว้ด้วยกันและเปิดตัว agoda.com อย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมปี 2007 และเติบโตเรื่องมาและพัฒนาเพิ่มเติมโดยไม่ได้มีเพียงแต่บริการจองโรงแรมหรือที่พักเท่านั้น โดยปัจจุบันเพิ่มบริการจองตั๋วเครื่องบิน รถยนต์ รวมถึงกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวรูปแบบต่างๆ
ก้าวสู่ธุรกิจในเครือ Booking Holdings

Agoda ก้าวสู่การเป็นหนึ่งธุรกิจในเครือ Booking Holdings (ชื่อเดิม The Priceline Group) ถูกควบรวมเข้ามาในปี 2007 กลายเป็นหนึ่งในธุรกิจท่องเที่ยวในเครือของ Booking Holding อย่างเช่น booking.com บริการท่องเที่ยวออนไลน์ยักษ์ใหญ่อีกเจ้าหนึ่งรวมไปถึง Priceline.com KAYAK รวมถึง OpenTable บริการจองโต๊ะร้านอาหาร และอื่นๆอีกมากมายรวมแล้วมากถึง 16 บริษัท
การมีธุรกิจในมือจำนวนมากทำให้ Booking Holdings เป็นบริษัทด้านการท่องเที่ยวที่มีบริการออนไลน์ที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลกโดยในปี 2023 ทำรายได้สูงถึง 21,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 780,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 25% ในขณะที่ปัจจุบันจากการสำรวจของ Rakuten พบว่า Agoda เป็นแพลทฟอร์มเอเจนซี่ท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทยด้วยสัดส่วน 78% ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่าง Booking.com ในสัดส่วน 58% ซึ่งทั้งสองแพลทฟอร์มก็มีบริษัทแม่เดียวกันนั่นก็คือ Booking Holdings นั่นเอง
Agoda อันดับ 4 บริษัทที่คนรุ่นใหม่ในไทยอยากทำงานด้วย
จากข้อมูล่าสุด Agoda มีพนักงานจำนวนมากถึง 3,100 คนในประเทศไทยหรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งของพนักงาน Agoda ทั่วโลกที่มีอยู่ราว 7,000 คน ใน 26 ประเทศ เรียกว่าประเทศไทยเป็นสำนักงานของ Agoda ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ โดยในจำนวน 3,100 มีผู้เชี่ยวาญด้านวิศวกรรมจำนวนถึง 1,300 คนหรือคิดเป็นสัดส่วน 3 ใน 4 ของ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมทั้งหมดของ Agoda ประจำอยู่ที่ประเทศไทย และยังมีคนไทยทำงานกับ Agoda ครึ่งหนึ่งของพนักงานในไทยทั้งหมดและมีจำนวนถึงถึง 200 คนที่เข้าไปทำงานในระดับบริหารใน Agoda ด้วย
ล่าสุด Agoda เข้าไปติดอันดับ 50 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยประจำปี 2024 จากการสำรวจของ WorkVenture การสำรวจที่จัดต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 6 สำรวจกับคนทำงานอายุ 22-35 ปี ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป จำนวนกว่า 11,452 คน พบกว่า Agoda ติดอยู่ในอันดับที่ 4 ขยับขึ้นมาจากอันดับที่ 6 จากผลสำรวจของปีก่อนหน้า
เหตุผลสำคัญก็คือ Agoda เป็นที่ซึ่งสามารถให้เงินเดือนและสวัสดิการได้เทียบเท่ากับการไปทำงานที่ต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้เด็กจบใหม่ได้ลงมือทำจริงในโปรเจกต์ใหญ่ ๆ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และได้เรียนรู้ด้านเทคโนโลยี ได้เรียนรู้จากเพื่อนร่วมงานเก่ง ๆ จากกว่า 70 สัญชาติทั่วโลก นอกจากนี้การทำงานที่ Agoda นั้นยังมีความยืดหยุ่น เพราะพนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้ 3 วันต่อสัปดาห์ ทำงานที่ไหนก็ได้ 30 วันต่อปี และมีวันหยุดเริ่มต้นมากถึง 15 วันต่อปี พร้อมส่วนลดที่พักมากมายเมื่อเข้าพักในโรงแรมที่เป็นพาร์ตเนอร์เป็นต้น นอกจากนี้ Agoda ยังเปิดโอกาสรับนักศึกษาฝึกงานเข้าทำงานด้านเทคโนโลยีจำนวนถึง 150 คนต่อปีอีกด้วย
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่พอจะทำให้เราได้รู้จักกับบริษัท Agoda กันมากขึ้นในฐานะธุรกิจผู้ให้บริการท่องเที่ยวผ่านออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย รวมไปถึงในฐานะบริษัทที่มีส่วนสำคัญในการจ้างงาน ยกระดับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ และจากนี้เชื่อว่าความร่วมมือกับรัฐบาลไทยทั้งในด้านเทคโนโลยีและการท่องเที่ยวจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีอนาคตที่สดใสต่อไปได้