บริษัท เดอะคลีนิกค์คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ผู้นำในธุรกิจการแพทย์ความงามครบวงจร ประกาศความสำเร็จในปี 2566 ที่ผ่านมา ด้วยรายได้รวม 2,285 ล้านบาท เติบโต 39% พร้อมเผยแผนกลยุทธ์ปี 2567 มุ่งเน้นการขยายสาขา พัฒนาผลิตภัณฑ์ เสริมกลยุทธ์การตลาด และยกระดับบริการ มุ่งสู่เป้าหมายรายได้ 3,000 ล้านบาท
จุดแข็ง THE KLINIQUE การพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์สูงที่สุด
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จมาจากจุดแข็งทีสำคัญ ได้แก่ หนึ่ง คือเรื่องนวัตกรรม สองคือเรื่องการสร้างแบรนด์ดิ้งและบริการเซอร์วิสต่างๆ สุดท้ายแต่สำคัญที่สุดเลยก็คือ การพัฒนาทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีการเทรนด์อย่างเข้มข้นและลงทุนในเรื่องนี้สูงมากด้วย
“การเทรนด์ทีมแพทย์ของ THE KLINIQUE มีการเทรนอย่างเข้มข้น เช่น สมมุติเราจะรับแพทย์ที่มีประสบการณ์มาแล้วเท่านั้น เมื่อรับเสร็จเราก็มีการเทรนนิ่งใหม่อีกรอบตามโปรโตคอลของเรา เทรนเสร็จมีการสอบเพื่อวัดผลว่าว่าผ่านหรือไม่ ถ้าผ่านเสร็จก็ส่งออกไปประจำตามสาขาต่าง พร้อมกับมีการมอนิเตอร์อยู่เรื่อยๆ แล้วระหว่างนี้ก็ยังไม่จบ เพราะว่าความรู้ทางการแพทย์มันพัฒนาไม่มีวันหยุด ดังนั้น เราก็จะมีการเชิญอินเตอร์สปีกเกอร์จากต่างประเทศเข้ามาเทรนให้อีกตลอดเวลา แล้วก็มีส่งแพทย์ไปเทรนด์ต่างประเทศด้วย รวมถึงมีจาก In House ที่ให้อาจารย์แพทย์ของเราเองเนี่ยมาเทรนกันเองข้างในประจำทุกๆ เดือน ซึ่งจากการที่เราให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาบุคลากรทุกฝ่ายทำให้เราลงทุนกับเรื่องนี้สูงมากทีเดียว”
ติดตามเทรนด์ความงามระดับโลกไม่มีเอาท์
ส่วนเรื่องการติดตามเทรนด์ความงาม โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ปฏิเสธมุมมอง Beaty Standard เมื่อถามว่าเทรนด์นี้มีผลต่อธุรกิจเสริมความงามหรือไม่ คุณหมออภิรุจ ระบุว่า ไม่ได้กระทบเลย เพียงแต่เราเห็นเทรนด์ที่เปลี่ยนไป เราพบว่าคนไข้ส่วนใหญ่ต้องการอะไรที่มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น เมื่อก่อนการทำศัยกรรมก็จะเน้นไปว่าอยากได้อกไซส์ใหญ่ๆ แต่ตอนนี้เปลี่ยนแล้วอยากได้ไซส์ที่ดูเป็นไซส์ธรรมชาติ แม้แต่คนที่เคยทำไซส์ใหญ่เมื่อก่อนก็มาขอให้ช่วยแก้ให้ หรือรูปจมูกเมื่อก่อนก็อาจจะฮิตที่ทำให้เล็กลงหรือมีจมูกที่สโลว์แต่ปลายพุ่ง แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่อยากได้แบบโด่งที่ดูเป็นธรรมชาติปลายมนลักษณะนี้เข้ามากันเยอะมาก ทำอย่างไรก็ได้ให้สวยอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งเทรนด์ความงามต่างๆ เหล่านี้ เราทำการอัปเดทประชุมกับวงการแพทย์ที่ปารีสอยู่อย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น เดอะคลีนิกค์ เราอัปเดททั้งเทรนด์ความงามและนวัตกรรมอยู่ตลอดเวลาไม่มีเอาท์อย่างแน่นอน
5 แบรนด์ในเครือ ขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์มัลติแบรนด์
เดอะคลีนิกค์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 ด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็นคลินิกความงามที่มอบบริการด้วยความเชี่ยวชาญ ปลอดภัย และได้มาตรฐานสากล ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา เดอะคลีนิกค์ได้ขยายสาขาภายใต้กลยุทธ์มัลติแบรนด์ (Multi Brand) กระจายตัวอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำรวมทั้งหมด 60 กว่าสาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็น 5 แบรนด์หลัก ได้แก่
- THE KLINIQUE: เน้นกลุ่มลูกค้า Gen X หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงในระดับ Luxury และ Hi-End
- A.B.X: เน้นลูกค้ากลุ่มพรีเมื่ยม
- L’Clinic: จับกลุ่มลูกค้าอายุน้อยในระดับพรีเมี่ยมแมส
- THE KLINIQUE SURGERY CENTER: ให้บริการด้านศัลยกรรมเฉพาะทาง มีศูนย์ศัลยกรรมที่ใหญ่ที่สุคใจกลางสยามสแควร์
- KLINIQ Wellness Spa: ให้บริการด้านเวลเนส ซึ่งถือเป็น Mega Trend สำคัญตอบโจทย์กลุ่มสังคมผู้สูงอายุ ที่ต้องการมีชีวิตยืนยาว อย่างมีสุขภาพดี
“ในปี 2566 เดอะคลีนิกค์มีรายได้รวม 2,285 ล้านบาท เติบโต 39% โดยเราพบว่าธุรกิจศัลยกรรมเติบโตขึ้นกว่า 361% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งปีที่ผ่านมาเราก็โตสูงมากแต่จะเห็นได้ว่าตลาดโตมาก นั่นหมายถึงว่าเรายังโตได้อีก โดยเราใช้กลยุทธ์ Multi Brand ในการขยายรายได้บริษัทให้สามารถจับกลุ่มลูกค้าได้ตามความต้องการที่แตกต่างกัน ทั้งนี้การที่เราอยู่ในตลาดนี้มานานมีความเข้าใจลูกค้า รวมถึงการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรทางเครื่องมือ เทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งหมดนี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯเดินหน้าสู่ความเป็นที่หนึ่งในตลาดนี้”
4 กลยุทธ์หลัก เพื่อให้ถึงเป้า 3,000 ล้านบาท
ในปี 2567 เดอะคลีนิกค์ได้วางงบลงทุนไว้ 500 ล้านบาท เพื่อปั้นรายได้ทะยานสู่ 3,000 ล้านบาท ภายใต้ 4 กลยุทธ์หลักประกอบไปด้วย
- ขยายสาขา: เดอะคลีนิกค์มีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 15-20 สาขา เลือกทำเลที่มีศักยภาพ ภายใต้งบลงทุน 300 ล้านบาท หรือลงทุนเฉลี่ย 25-30 ล้านบาทต่อสาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
- พัฒนาผลิตภัณฑ์: เน้นนวัตกรรม เทคโนโลยี และความปลอดภัย วางงบลงทุน 200 ล้านบาทสำหรับซื้อเครื่องมือใหม่ๆ
- การตลาดและการสื่อสาร: มุ่งเน้นกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าแบบ Omnichannel สร้างการรับรู้แบรนด์และ Engagement กับลูกค้า จนเป็นที่รู้จักทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 90% ต่างชาติ 10% ทั้งจากประเทศจีนและประเทศเพื่อบ้านทั้งหมดล้วนเป็นลูกค้าในระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง
- บริการ: พัฒนาด้านบริการให้ Personalized ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และใส่ใจผ่านทีมแพทย์ในเครือนับเครือนับ 100 คน พร้อมพยาบาล 200 กว่าคน รวมถึงพนักงานให้บริการอีกเกือบ 1,00 คน ที่ได้เทรนนิ่งทุกฝ่ายพร้อมรองรับลูกค้าอย่างครบวงจร
นายแพทย์อภิรุจ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการเสริมความงามมากที่สุดในปี 2563 โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมเสริมความงามในประเทศนั้นพบว่ามีการเติบโตขึ้นทุกปี ซึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคจะเปิดกว้างมากขึ้นต่อการทำศัลยกรรมและเสริมความงาม
จากการศึกษาของ Grand View Research พบว่า ระหว่างปี 2565-2573 จะมีการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ร้อยละ 9.70% โดยในปี 2566 มีมูลค่า 6.4 หมื่นล้านบาท และปี 2567 จะมีมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์จนถึงปี 2573 จะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 1.2 แสนล้านบาท
“หากมองภาพรวมของตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท เดอะคลีนิกค์ ยังมีส่วนแบ่งการตลาดไม่ถึง 5% แต่ในแง่การดูแลรักษาเรื่องผิวหนังความงามถือว่าเป็นเบอร์ 1 ของไทยที่มีบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้เพื่อแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงทุนเรื่องนวัตกรรมความงามจนได้รับรางวัลชนะเกาหลีและไต้หวันมาแล้ว และยังคงมุ่งมั่นพัฒนานเรื่องนวัตกรรมอีกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มเรทการใช้ห้องศัลยกรรมให้คุ้มค่ามากขึ้น พัฒนาบริการระดับ 5 ดาว รวมทั้งหาพาทเนอร์ในตลาดเวลเนส ที่จะเติบโตเป็น Inorganic Growth ในอนาคต” นายแพทย์อภิรุจกล่าวทิ้งท้าย