“การลงทุน” เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการช่วยโลกพิชิตวิกฤตการณ์ภาวะโลกรวน หรือ Climate Change เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ภาคธุรกิจจากทุก ๆ อุตสาหกรรมใน “โลกทุนนิยม” ที่มีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศปริมาณมหาศาล หันมาเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำธุรกิจที่คำนึงถึง “ความยั่งยืน” (Sustainability) มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินธุรกิจบนหลักการ ESG (Environmental, Social, Governance) ที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จไปพร้อม ๆ กับโลกที่ดีขึ้นได้
นั่นทำให้ “สถาบันการเงิน” หันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืนมากขึ้น ในปัจจุบันหนึ่งในนั้นคือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด หรือ บลจ.กสิกรไทย (KAsset) ผู้นำด้านกองทุนรวมของไทยโดยเฉพาะกองทุนที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งล่าสุดยกระดับมาตรฐานด้านการลงทุนที่ยั่งยืนไปอีกขั้นด้วยการประกาศความร่วมมือกับ “ลอมบาร์ด โอเดียร์” (Lombard Odier) สถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงระดับโลกจาก “สวิตเซอร์แลนด์” ที่จะเข้ามาเป็นที่ปรึกษาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Investment) ตามหลักมาตรฐานสากลได้มากขึ้น ซึ่งในบทความนี้เราจะมาถอดรหัสว่าความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จะส่งผลดีอย่างไรกับผู้ลงทุน รวมถึง จะยกระดับมาตรฐานการลงทุนเพื่อความยั่งยืนในไทยได้อย่างไร
กองทุน ESG ในไทย มีโอกาสเติบโตสูง
แม้ว่าในปัจจุบัน “ภาคลงทุน” จะตื่นตัวกับเรื่องการลงทุนอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้นแล้ว เห็นได้จากการสนับสนุนจากภาครัฐในการจัดตั้งกองทุน ThaiESG ที่สนับสนุนให้มีการลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับหลักการ ESG ทำให้ในปัจจุบันมูลค่าการลงทุนในกองทุน ESG เติบโตขึ้นมากกว่า 10 เท่าถึงระดับ 27,000 ล้านบาท ในขณะที่การออก ESG Bond ก็เพิ่มขึ้นจาก 23,000 ล้านบาท ในปี 2019 เป็น 180,000 ล้านบาทในปี 2023 ในขณะที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยมีถึง 24 บริษัทแล้วที่ประกาศเป้าหมาย Net Zero รวมมูลค่าบริษัทเหล่านี้สูงถึง 6.9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 40% ของมูลค่าบริษัททั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม คุณอดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด หรือ KAsset ก็เปิดเผยว่า แม้ตลาดกองทุน ESG จะเติบโตไปมาก แต่ส่วนแบ่งตลาดนั้นยังน้อยมากๆ หรือคิดเป็นเพียง 1% เท่านั้นของกองทุนของบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั่วโลก และนับจากนี้ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่ากองทุน ESG ทั่วโลกจะเติบโตขึ้นจนมีสัดส่วนถึง 20% ในเวลาอีกแค่ 2-3 ปีข้างหน้าเท่านั้น นั่นทำให้โอกาสของกองทุน ESG ในไทยจึงยังเปิดกว้างอยู่มาก
ขณะที่คุณวินเซนต์ มาเนียนาต์ Limited Partner, Asia Regional Head and Global Head of Strategic Alliances แห่งลอมบาร์ด โอเดียร์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีความตื่นตัวในเรื่องการลงทุนอย่างยั่งยืนมากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย โดยเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา ลอมบาร์ด โอเดียร์ ทำการสำรวจพบว่า มีคนไทยสัดส่วนมากถึง 88% เชื่อว่า การลงทุนเพื่อความยั่งยืนจะให้ผลตอบแทนระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 77% นอกจากนี้ยังมีคนไทยมากถึง 26% ที่คิดจะเริ่มลงทุนในเรื่องความยั่งยืนในเร็ว ๆ นี้ เทียบกับพื้นที่อื่น ๆ ในเอเชียที่มีสัดส่วนเพียง 18% เท่านั้น
“ลอมบาร์ด โอเดียร์” กับประสบการณ์ 227 ปี
หนึ่งเหตุผลของ KAsset ที่เลือกร่วมมือกับ ลอมบาร์ด โอเดียร์ ก็คือประสบการณ์ในการบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งระยะเวลายาวนานถึง 227 ปี สิ่งนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าบริษัทจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แห่งนี้มีวิสัยทัศน์สามารถ “ปรับตัวผ่านกระแสความเปลี่ยนแปลง” มาได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยของเทคโนโลยีครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่านวิกฤตการเงินมามากถึง 40 ครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ ลอมบาร์ด โอเดียร์ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดย Fitch Rating ที่ AA- เลยทีเดียว
อีกเหตุผลก็คือ ลอมบาร์ด โอเดียร์ ที่มีสำนักงาน 26 แห่งใน 19 ประเทศ มีพนักงานมากกว่า 2,900 คน ยังมีประสบการณ์ในฐานะบริษัทบริหารสินทรัพย์ในภูมิภาคยุโรป ภูมิภาคที่ให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนล้ำหน้าประเทศไทยไปไกลถึง 10 ปี นั่นหมายความว่าจะมีเทคโนโลยีและเครื่องมือในการคัดเลือกสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนได้มากที่สุด และแน่นอนว่าจะช่วยยกระดับมาตรฐานการลงทุนเพื่อความยั่งยืนในไทยได้อีกด้วย
4 Mega Trend ที่ไม่อาจต้านทาน
การเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์การลงทุนไปสู่ความยั่งยืนของ KAsset นอกจากจะเป็นไปตามเป้าหมายของธนาคารกสิกรไทย (KBank) แล้ว ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของ ลอมบาร์ด โอเดียร์ โดย คุณวินเซนต์ เปิดเผยว่าปัจจุบันโลกมี 4 Mega Trend ในโลกการลงทุนที่ไม่มีใครสามารถต้านทานได้และกำลังทำให้การลงทุนต้องเดินหน้าไปสู่การลงทุนอย่างยั่งยืนนั่นก็คือ
- Volatility หรือ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ผันผวน วิธีการลงทุนแบบเดิมใช้ไม่ได้แล้วต้อง “คิดใหม่” เพราะปัจจุบันมีสินทรัพย์ใหม่ๆเกิดขึ้นมามากมายในตลาดและหนึ่งในนั้นคือ “การลงทุนเพื่อความยั่งยืน”
- The Great Wealth Transfer มหาเศรษฐี ครอบครัวมหาเศรษฐีและนักธุรกิจในเครือข่ายระดับสูง 70,000 คนที่จะมีการโอนย้ายความมั่งคั่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งในช่วง 10 ปีข้างหน้าคิดเป็นมูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และนักลงทุนรุ่นใหม่เหล่านี้ให้ความสำคัญกับ “ความยั่งยืน” เป็นอันดับ 1
- The Onshoring ภูมิภาคเอเชียกลุ่มคนชั้นกลางระดับบนมีจำนวนมากขึ้น นักลงทุนใหม่เหล่านี้มีความคิดที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นและมีความต้องการในการลงทุนระดับโลกมากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงความต้องการเข้าถึงการลงทุนจากในประเทศก็มีมากขึ้นนั่นเอง
- Sustainability หรือ ความยั่งยืนเป็น Mega Trend ที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ และเรื่องนี้ผลักดันด้วยพลัง 4 ด้านก็คือ “รัฐบาล” และหน่วยงานกำกับดูแลที่กำลังเปลี่ยนแปลงกฎต่าง ๆ “ผู้บริโภค” ที่เปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่ความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น “เทคโนโลยี” ที่เปลี่ยนแปลงไปและก้าวหน้าขึ้นก็กำลังผลักดันเรื่องความยั่งยืนให้เดินหน้าเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และสุดท้าย “นักลงทุน” ที่จะมองความยั่งยืนเป็นโอกาสในการลงทุนมูลค่ามหาศาลถึงปีละ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
KAsset x Lombard Odier เสริมแกร่งการลงทุนเพื่อความยั่งยืน
นอกเหนือจากข้อดีของลอมบาร์ด โอเดียร์ ที่จะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อความยั่งยืนที่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้เกิดขึ้นได้จริงแล้ว KAsset เองก็เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมาอย่างยาวนาน สอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารกสิกรไทย ที่มีแนวคิดในการทำธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืน (Bank of Sustainability) ซึ่งคุณอดิศร ก็เปิดเผยเพิ่มเติมด้วยว่า KAsset ให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืนมาเป็นเวลากว่า 10 ปีนับตั้งแต่ปี 2013 โดยนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มาปรับใช้ในกระบวนการลงทุน โดยเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกหลักทรัพย์จนถึงการสร้างพอร์ตการลงทุน
นอกจากนี้ KAsset ยังเป็น บลจ. แห่งแรกของไทยที่เข้าร่วมลงนาม UN-supported Principles for Responsible Investment (UNPRI) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ (United Nations) เป็นการแสดงความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามหลักการลงทุนอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล 2021 นอกจากนี้กองทุน ESG ของ KAsset ยังเป็นกองทุนแรกในอุตสาหกรรมที่ยื่นขอความเห็นชอบต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้เป็นกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) โดยในปัจจุบัน KAsset มีกองทุนที่ได้รับความเห็นชอบให้เป็น SRI Fund จำนวน 7 กองทุน และครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ด้วยมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ม.ค. 67) ดังนั้นการร่วมมือกับลอมบาร์ด โอเดียร์ จึงเป็นการเสริมความแข็งแกร่งของ KAssetในเรื่องการลงทุนเพื่อความยั่งยืนให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
กลยุทธ์ KAsset สู่การลงทุนเพื่อความยั่งยืน
สุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (KAsset) เปิดเผยถึง กลยุทธ์ในการทำให้การลงทุนเพื่อความยั่งยืนประสบความสำเร็จว่ามีองค์ประกอบอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน โดยเรื่องแรก คือ “Sustainable Investment Integration” คือการผสานรวมเอาการลงทุนอย่างยั่งยืนเข้ามาสู่บลจ. เพิ่มองค์ความรู้ด้วยการศึกษาไปพร้อมๆกับ มีการฝึกอบรวมร่วมกันระหว่างลอมบาร์ด โอเดียร์ และ KAsset จนนำไปสู่กองทุนที่ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ลอมบาร์ด โอเดียร์ ใช้ในยุโรปในการคัดเลือกและเปิดตัวเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา
เรื่องที่ 2 คือ “Sustainable Choices for Customer” คือการมีตัวเลือกของการลงทุนด้านความยั่งยืนให้นักลงทุน เพราะคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ ดังนั้นการมีทางเลือกการลงทุนเพื่อให้เดินหน้าไปสู่จุดนั้นได้จึงสำคัญมาก และสุดท้ายคือ “Quantifiable Positive Impact” คือผลกระทบเชิงบวกที่“ต้องวัดผลได้” สร้างการมีส่วนร่วมหรือผลักดันผู้ประกอบการเดินหน้าสู่ความยั่งยืนด้วยการลงทุน เป็นการสื่อสารให้ผู้ประกอบการเดินหน้าไปสู่เป้าหมายด้วยกัน ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อความยั่งยืนที่ KAsset ร่วมกับลอมบาร์ด โอเดียร์ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 กองทุน หนึ่งคือ K-PLANET ที่กองทุนลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรม ที่มีส่วนช่วยแก้ปัญหาClimate Change ซึ่งได้เปิดตัวไปเมื่อหลายปีก่อนบริหารจัดการโดยลอมบาร์ด โอเดียร์ และ อีกกองทุนที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายปี 2023 ก็คือ K-TNZ -ThaiESG กองทุนเพื่อการลงทุนระยะยาวและการลดหย่อนภาษีที่ KAsset บริหารจัดการเองโดยใช้โมเดลของลอมบาร์ด โอเดียร์ เป็นครั้งแรก
K-TNZ-A(A) กองทุนใหม่ที่แค่ลงทุนก็มีส่วนช่วยลดอุณหภูมิโลกได้
คุณธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน KAsset เปิดเผยด้วยว่า ล่าสุด KAsset เปิดตัวกองทุนใหม่ ที่มีชื่อว่า กองทุนเปิดเค Target Net Zero หุ้นไทย-A ชนิดสะสมมูลค่า หรือชื่อย่อ K-TNZ-A (A) เป็นกองทุนที่ KAsset ศึกษาและบริหารจัดการเองโดยมีลอมบาร์ด โอเดียร์ เป็นที่ปรึกษาโดยจะเน้นไปที่การลงทุนในบริษัทที่มีการบริหารจัดการการลดก๊าซเรือนกระจกได้ดีและมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในอนาคต เป็นการลงทุนในหุ้นกลุ่มดัชนี SET100 TRI และเน้นให้ระดับผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีด้วย นั่นหมายความว่าการนำเงินมาลงทุน K-TNZ-A(A) นอกจากจะได้ผลตอบแทนไม่ต่างกับการลงทุนใน SET100 TRI แล้ว ยังสามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนส่งผลช่วยลดอุณหภูมิโลกลงได้ด้วย
นั่นหมายความว่าหากนำเงินลงทุน 1 ล้านบาทลงทุนในดัชนี SET100 TRI บริษัทเหล่านี้จะสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินการปีละ 16 ตันต่อปี แต่หากนำเงินลงทุนจำนวน 1 ล้านบาทเท่ากันใน K-TNZ ที่เป็นบริษัทที่ถูกคัดเลือกมาแล้วด้วยองค์ความรู้จากที่ปรึกษาอย่างลอมบาร์ด โอเดียร์ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ลงไปได้เกือบครึ่ง และยังสามารถช่วยลดอุณหภูมิโลกที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตลงได้ 30% แน่นอนว่าตัวเลขเหล่านี้คิดขึ้นได้เพราะเทคโนโลยีและองค์ความรู้ในการวัดผลของลอมบาร์ด โอเดียร์ ที่จะทำให้นักลงทุนเห็นภาพและตัดสินใจลงทุนเพื่อความยั่งยืนได้ง่ายขึ้น
ทั้งหมดนี้คือแนวคิดและกลยุทธ์ของ KAsset และ ลอมบาร์ด โอเดียร์ ในการเดินหน้าไปสู่โลกของการลงทุนเพื่อความยั่งยืน หนึ่งในวิธีการที่จะยุติวิกฤตภาวะโลกรวนหรือ Climate Change ลงได้ ความร่วมมือนี้เป็นการผสมผสานความเป็นผู้นำตลาดการลงทุนเพื่อความยั่งยืนในไทยของ KAsset เข้ากับความเชี่ยวชาญของบริษัทจัดการกองทุนในภูมิภาคยุโรปที่ก้าวหน้าด้านความยั่งยืนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอย่าง ลอมบาร์ด โอเดียร์ ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์นักลงทุนที่นอกจากจะมีส่วนช่วยให้โลกเดินหน้าสู่ Net Zero แล้ว ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ด้วย
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.kasikornbank.com/k_3SR3Wn2
