การทำงานรูปแบบ Hybrid working ได้รับความนิยมมากโดยเฉพาะในช่วงยุคหลังโควิด-19 เพราะเป็นทางเลือกของการทำงานแบบยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อดี แต่ก็มีข้อเสียที่แฝงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าบริษัทของคุณทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไม่เอื้ออำนวยต่อความสะดวกในการทำงาน
นับตั้งแต่เกิดโรคระบาด การทํางานที่ยืดหยุ่นได้เปลี่ยนจากสิทธิพิเศษที่ดีไปเป็นสิ่งที่ต้องมี ด้วยจํานวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นก็ดี ควาสะดวกสบายที่มากขึ้นก็ดี ทั้งนี้ จากการสํารวจพนักงานล่าสุดของ Gallup ในสหรัฐอเมริกา มากกว่าครึ่งหนึ่งของพนักงาน ชื่นชอบและคาดหวังว่าบริษัทจะจัดรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid working หรือ Remote working ได้
อย่างที่กล่าวไปว่า Hybrid working มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เครียดน้อยลง แต่ขณะเดียวกันก็ยังมาพร้อมความท้าทายในการที่ไม่เหมือนใคร บางครั้งก็สร้างความผิดพลาด และบางครั้งก็สร้างปัญหาได้เช่นกัน
ดังนั้น ลองมาเช็คลิสต์ว่ามีการชักธงแดงอะไร (รึเปล่าน้า) ที่ส่งสัญญาณว่านโยบายการทํางาน Hybrid working กำลังเป็นพิษ และเป็นปัญหาสําหรับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน
5 สัญญาณธงแดง ที่บอกว่านโยบาย ‘ Hybrid working ‘ ของคุณกำลัง Toxic
1.วันลาป่วยถูกมองว่าเป็นวันทํางานจากที่บ้าน
หนึ่งในธงสีแดงที่ใหญ่ที่สุดของระบบการจัดการทำงานแบบ Hybrid working คือมันเบลอเส้นของ ‘การทำงาน’ และเส้นของ ‘การใช้ชีวิต’ ภายใต้นโยบายที่ไม่ชัดเจนนี้ตารางเวลาที่ยืดหยุ่นของคุณจะกลายเป็นข้ออ้างเพื่อให้คุณทํางานได้นานขึ้นแม้ว่าจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณก็ตาม
Brianna Doe ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทการตลาด Verbatim เปิดเผยว่า เธอมีประสบการณ์ตรงในการทำงานไฮบริด แต่เส้นการใช้ชีวิตและการทำงานของเธอมันถูกรุกร้ำโดยไม่รู้ตัว “เมื่อฉันลาป่วย ความคิดที่ผู้จัดการของฉันก็เหมือนกับว่า ‘ดีนะที่คุณต้องอยู่บ้าน แปลว่าคุณยังต้องทํางาน’ ในวัฒนธรรมด้านสุขภาพ ไม่ว่าคุณจะอยู่ห่างไกลหรืออยู่ในสํานักงาน หรือทั้งสองอย่างผสมกัน ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทํางานยังคงมีอยู่ คุณยังคงได้รับการสนับสนุนให้ดูแลตัวเอง”
2.ไม่มีนโยบายอย่างเป็นทางการสําหรับพนักงาน
Deirdre. Orr, ที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลและผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาความสามารถ มีหน้าที่รับผิดชอบในการกําหนดนโยบายแบบไฮบริดและการทํางานภายใต้นโยบายเหล่านี้ เธอกล่าวว่า ธงสีแดงที่ใหญ่ที่สุดในการจัดการการทำงานแบบ Hybrid working ก็คือเริ่มมีความท็อกซิก เมื่อมันไม่มีนโยบายอย่างเป็นทางการออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีพนักงานใหม่หลั่งไหลเข้ามา
เมื่อการทำงานแบบ Hybrid working ดำเนินการบนบน “พื้นที่สีเทา” อาจทําให้พนักงานกังวลว่า “นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่? คุณเอาสิ่งนี้ไปจากฉันได้ไหม” นอกจากนี้ สิ่งที่ท็อกซิกอีกอย่างคือ มันยังสามารถสร้างความรู้สึกเล่นพรรคเล่นพวกที่ไม่เป็นธรรมได้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่องค์กรหรือบริษัทจะต้องระวังมากๆ
กรณีที่แย่ที่สุด คือการพักที่เหมาะสมของการทำงานแบบ Hybrid working ที่ไม่มีความชัดเจนเลย ดังนั้น สิ่งที่องค์กรหรือบริษัทจะต้องควรทำเพื่อเลี่ยงปัญหาดังกล่าวก็คือ นโยบายแบบ Hybrid working จะต้องมีความรัดกุม พนักงานควรรู้ว่าวันไหนที่ต้องเข้าออฟฟิศ หรือวันไหนที่ไม่ต้องเข้า พร้อมกับที่หัวหน้างานสามารถให้เหตุผลได้ว่าทำไมถึงเลือกวันนั้นๆ ในการเข้าออฟฟิศ เป็นต้น
3.เจ้านายและเพื่อนร่วมงานของคุณทําตัวแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
หากเจ้านายของคุณกลายเป็น Dr. Jekyll หรือ Mr. Hyde หมายถึงว่ามีนิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้บางครั้งใจดีบางครั้งก็เหวี่ยง ถ้าคุณต้องทำงานร่วมกับเขา อาจจะสร้างความสับสนได้ และสร้างให้เกิดสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ทำให้เหนื่อยล้า
Brianna Doe ให้ความเห็นต่อว่า เวลาที่ทำงานในสำนักงานทุกอย่างก็ดูเป็นปกติดี แต่พอที่ต้องสลับไปอยู่บ้านหรือที่อื่น “ความไว้วางใจก็ปลิวหายไปเลย” ดังนั้น มันเลยทำให้เธอต้องอยู่โยงทำงานนานขึ้น เพื่อรักษาความไว้วางใจดังกล่าว หรือเพื่อทำให้เธออยู่ในสายตาของหัวหน้าได้นั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมีมุมมองความท็อกซิกเพิ่มด้วยว่า การทำงานแบบ Hybrid working ในช่วงที่อยู่ห่างกัน จะเปิดโอกาสให้พนักงานแสดงความหยาบคายใส่กันได้ง่ายขึ้นมากกว่าที่เจอหน้ากันด้วย
4.เกิดการกีดกันจากคําเชิญเข้าร่วมการประชุมหรืองานเฉลิมฉลอง
อีกสิ่งที่เป็นสัญญาณว่า การทำงานแบบ เริ่มท็อกซิกก็คือ Hybrid working เมื่อพนักงานรู้สึกถึงการไร้ตัวตน หรือถูกลดทอนคุณค่าลง เมื่อใดที่คุณเริ่มรู้สึกว่าการประชุมนั้นๆ หรืองานเลี้ยงทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการคุณไม่ได้ถูกเชิญให้ไปร่วม เพราะคุณอาจจะเริ่มห่างเหินกับทีมแล้วก็เป็นได้ ในขณะที่เพื่อนร่วมงานคนอื่น ที่อาจจะเข้าออฟฟิศมากกว่า มักจะถูกเรียกให้ไปร่วมกิจกรรมต่างๆ มากกว่าคุณ ซึ่งถ้าเกิดความรู้สึกนี้กับพนักงานมากขึ้น จะสร้างความรู้สึกไม่มั่นคงในจิตใจของพนักงานได้
ทั้งนี้ มีสถิติที่บ่งบอกสถานการณ์ลักษณะนี้ว่า ในปี 2023 ผู้หญิงวัยทํางาน 5,000 คนใน 10 ประเทศ 58% ของผู้หญิงที่เป็นแรงงานไฮบริดในด้านเทคโนโลยี โทรคมนาคมและสื่อ ระบุว่าพวกเธอเชื่อว่ามีการกีดกันจากการประชุม การตัดสินใจบางอย่างแบบไม่เป็นทางการ ที่เป็นผลมาจากการทำงานไฮบริด
5.พบว่ามีพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด ได้เลื่อนตำแหน่งน้อยมาก (หรืออาจเท่ากับ ‘0’ เลย)
ลองเช็คดูว่ารายชื่อของพนักงาน หรือแต่ละแผนกที่ทำงาน คนที่ทำงานได้ แต่เขาทำงานแบบไฮบริดเริ่มอยู่นอกสายตาและไม่ได้รับการโปรโมท นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ทำให้คุณต้องเบรกการทำงานแบบนี้เป็นการชั่วคราวก่อน
หลังการทบทวนแล้ว เป็นไปได้ที่จะต้องทำการปรับใหม่ โดยให้การทำงานแบบ Hybrid working ถูกวางนโยบายให้เป็นทางการมากขึ้น แต่ข้อนี้อาจจะไม่ได้รุนแรงถึงขั้นขึ้นธงแดง เพราะพนักงานบางคนอาจจะรู้สึกสบายใจอยู่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ข้อที่ควรจะเพิกเฉย บริษัทควรที่จะเฝ้ามองและติดตามอย่างใกล้ชิดด้วย
ในขณะที่ทางฝั่งพนักงาน ถ้ารู้สึกไม่มั่นคงกับรูปแบบการทำงาน Hybrid working เพราะทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้รับการโปรโมทหรือได้รับมอบหมายงานสำคัญ ระยะยาวอาจไม่เป็นผลดีก็ได้ ตรงนี้อาจเป็นเรื่องที่คุณต้องนำไปทบทวนกับตัวเอง หรือว่าควรจะต้องกลับไปทำงานแบบ 100% ที่สำนักงานดีกว่า
ทั้งหมดนี้ น่าจะพอเป็นเช็คลิสต์เบาๆ ให้ได้ว่า การทำงานแบบ Hybrid working ที่บริษัทของคุณ กำลัง toxic อยู่หรือไม่ ซึ่งถ้าบางอย่างยังอยู่ในจุดที่รับได้ หรือคุณยังมองว่ายังมีหลายอย่างที่มีประโยชน์มากกว่า หรือยังพอแก้ไขปรับปรุงกันได้ ที่สำคัญคือไม่กระทบกับงาน และยังทำให้การทำงานยังมีประสิทธิภาพดีอยู่ ก็อาจจะเดินหน้าเรื่อง Hybrid working ต่อไป
แต่ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ ผู้เขียนก็ยังมองว่า การแก้ปัญหาด้วยการพูดคุยปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทั้งระหว่างหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน ยังคงเป็นทางออกที่ดีอยู่ จนกว่ามันจะไปสุดทางและไม่ได้จริงๆ ถึงตรงนั้นการทำงานแบบ Hybrid working ก็คงไม่ใช่สิ่งที่จะทำต่อไปแล้ว.
Source