ตลอดช่วงชีวิตที่เราได้รู้จักแบรนด์รถยนต์ วอลโว่ (Volvo) เราได้ยินชื่อเสียงของ “วอลโว่” มามากมายถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยที่แบรนด์รถยนต์มอบให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร มีข่าวและเรื่องเล่าถูกล่าต่อกันอย่างมากมายถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยหลายอย่างกลายเป็น Word of Mouth Marketing ที่แบรนด์ไม่ต้องออกแรงอะไร
โดยเฉพาะในยุคของสื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบันที่มีหลายเหตุการณ์ที่ “วอลโว่” ได้รับเสียงชื่นชมจากลูกค้า และคนใช้รถ ผ่านการกดไลค์ กดแชร์ และออกมาพูดแทนแบรนด์ได้ กลายเป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์การสร้างแบรนด์รถยนต์ที่เน้นเรื่อง “ความปลอดภัย” เป็นแกนกลางมาโดยตลอดจนนับได้ว่า “วอลโว่” มีความหมายเท่ากับ “ความปลอดภัย” ไปแล้วในเวลานี้
ความประทับใจกับแบรนด์ วอลโว่ ที่ได้รับการสื่อสารออกมาอย่างจริงใจแบบเป็นธรรมชาติ Engagement ที่ได้แบบออร์แกนิกเหล่านี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่ วอลโว่ ตั้งใจทำตั้งแต่ต้น ความปลอดภัย เรียกว่าฝังอยู่ในวัฒนธรรมและใช้เวลาสั่งสมมาอย่างยาวนาน ซึ่งสิ่งที่วอลโว่ทำมีอะไรบ้างเราจะมาเล่าให้ฟังในบทความนี้
Omtanke ปรัชญาการออกแบบของ Volvo
วอลโว่ เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีต้นกำเนิดในประเทศสวีเดน ประเทศในโซนหนาวเย็นที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง และด้วยภูมิประเทศและสภาพอากาศที่ยากลำบากนี้ ทำให้รถยนต์สามารถเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย นั่นจึงเป็นเหตุผลให้แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์อย่างวอลโว่ ต้องผลิตรถยนต์ที่ผู้ขับขี่จะสามารถไว้วางใจได้ว่าจะปลอดภัยในทุกเส้นทางและทุกสภาพอากาศ
จึงเป็นที่มาทำให้วอลโว่มีหลักการทำงานเป็นภาษาสวีเดนที่เรียกว่า “Omtanke” (โอมทังเกะ) คือหลักการในการทำงานที่เป็นปรัชญาขั้นพื้นฐานในการออกแบบของแบรนด์ Volvo ก็ว่าได้ หมายถึงการคำนึงถึงคนเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานตั้งแต่ประสบการณ์ในการใช้งานที่ต้องพิเศษ การออกแบบที่คิดทบทวนอีกครั้งก่อนลงมือทำ พยายามไม่ให้มีสิ่งไม่จำเป็นอยู่ การออกแบบจึงเป็นการออกแบบที่ทำให้เกิดความสวยงามและความบริสุทธิ์ไม่มีส่วนเกิน
เรื่องนี้ยังรวมไปถึงการ “ปกป้องสิ่งสำคัญ” สำหรับผู้ใชังานนั่นก็คือชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน นั่นจึงนำไปสู่การคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆที่นอกจากจะมอบประสบการณ์ที่ดีแล้ว ยังสร้างความปลอดภัยสูงสุดให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารในรถด้วย
แน่นอนว่าในเรื่องของความปลอดภัย วอลโว่ เน้นย้ำเรื่องนี้ตั้งแต่สร้างแบรนด์และสิ่งนี้สะท้อนผ่านวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง Assar Gabrelsson และ Gustaf Larson ตั้งแต่ปี 1927
“รถยนต์ขับโดยคน ดังนั้นหลักการเบื้องหลังทุกอย่างที่เราสร้างที่วอลโล่ ก็คือความปลอดภัย และต้องคงไว้ซึ่งความปลอดภัยเสมอ” Assar Gabrelsson และ Gustaf Larson สองผู้ร่วมก่อตั้งวอลโว่ ระบุเอาไว้เมื่อปี 1927
วอลโว่ ผู้คิดค้นเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด
นอกจากวิสัยทัศน์ของผู้ร่วมก่อตั้งวอลโว่ ที่ย้อนไปได้ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทแล้ว วอลโว่ยังสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะผู้คิดค้นวัตกรรม “เข็มขัดนิรภัยยึดแบบ 3 จุด” ได้ในปี 1959 นวัตกรรมที่แม้จะเจอกระแสต่อต้านในช่วงแรกว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่จำกัดอิสรภาพคนขับขี่ แต่สุดท้ายวอลโว่ก็พิสูจน์แล้วว่า “เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด” นี้เป็นนวัตกรรมด้านความปลอดภัยเปลี่ยนโลก ซึ่งวอลโว่ก็ไม่ได้เก็บไว้เพียงแบรนด์เดียวยังแบ่งปันนวัตกรรมนี้ให้กับแบรนด์รถยนต์แบรนด์อื่นๆได้ใช้มาจนถึงทุกวันนี้
หากนับสถิตินวัตกรรม “เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด” ช่วยชีวิตคนขับรถมาแล้วมากกว่า 1 ล้านคน
ระบบ Child Safety Seat และ Airbag
นอกจากเข็มขัดนิรภัยแล้ววอลโว่ ยังเป็นผู้คิดค้นระบบ Child Safety Seat ที่นั่งสำหรับเด็กที่ต้องนั่งหันหลังในปี 1972 สู่การพัฒนาเบาะนั่งนิรภัยเด็กในปี 1976 นอกจากนั้น วอลโว่ ยังเป็นผู้พัฒนาให้มี “ถุงลมนิรภัย” ให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัยในรถยนต์และเป็นผู้ผลิตรถยนต์แห่งแรกของโลกที่มีระบบ “ถุงลมนิรภัยจากการชนด้านข้าง” (Side Impact Airbag) ซึ่งระบบนี้เองที่ทำให้ผู้ขับขี่ XC40 ชาวไทยที่เจออุบัติเหตุในไวรัลล่าสุดปลอดภัยจากการชนของรถบรรทุกน้ำมัน
ระบบ City Safety ของวอลโว่
อีกหนึ่งนวัตกรรมด้านความปลอดภัยที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์ก็คือ ระบบ City Safety ของ วอลโว่ที่เปิดตัวมาในปี 2008 ระบบที่จะทำให้รถยนต์ชะลอหรือเบรกโดยอัตโนมัติเพื่อหลีกเลี่ยงการชนกับรถยนต์ คนเดินถนน คนปั่นจักรยานหรือสัตว์ขนาดใหญ่ เรียกว่าเป็นตัวอย่างระบบที่ทำให้บริษัทรถยนต์แทบทุกเจ้าต้องพัฒนาและติดตั้งระบบแบบเดียวกันนี้ในรถยนต์ของตัวเองในเวลาต่อมา
วอลโว่วิจัยอุบัติเหตุอย่างจริงจัง
ปัจจุบันวอลโว่พัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องโดยการศึกษาจากข้อมูลและการทำวิจัยอย่างจริงจังด้วยการก่อตั้งทีมวิจัยด้านอุบัติเหตุ เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา และนับจากนั้นก็มีการศึกษาอุบัติเหตุทางรถยนต์ในชีวิตจริงมากกว่า 43,000 คัน ซึ่งมีผู้โดยสารราว 72,000 คน โดยงานวิจัยนี้ได้มีส่วนในการสร้างระบบและสร้างนวัตกรรมต่างๆในประวัติศาสตร์ด้านความปลอดภัยสำหรับรถยนต์มาอย่างต่อเนื่อง
วอลโว่ยังเป็นบริษัทที่ใส่ใจในรายละเอียดโดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับสรีระของผู้หญิง ด้วยการเป็นผู้ผลิตรถยนต์เจ้าแรกของโลกที่ใช้หุ่น “ผู้หญิง” ในการทดสอบการชน เพื่อนำข้อมูลไปพัฒนา “เบาะนั่ง” และ “ถุงลมนิรภัย” ให้ปลอดภัยกับผู้หญิงมากขึ้น ลดอาการบาดเจ็บที่กระดูกต้นคอและหน้าอกลงได้มากถึง 50% นอกจากนี้ นวัตกรรมป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะและลำตัวด้านข้างจากการชนสำหรับผู้โดยสารหน้าและหลังก็ช่วยลดการบาดเจ็บลงได้ถึง 70% ด้วย
ยิ่งกว่านั้นข้อมูลจากการวิจัยเหล่านี้วอลโว่ก็ไม่เคยหวงนวัตกรรม มีการเผยแพร่ข้อมูลจากงานวิจัยเหล่านี้สู่เพื่อให้บริษัทรถยนต์อื่นๆนำไปพัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยต่อไปได้ด้วย
ความมุ่งมั่นนี้ทำให้ในปี 2007 วอลโว่ตั้งเป้าเอาไว้เลยว่าจะต้องไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิตภายในรถยนต์รุ่นใหม่ของ วอลโว่ และล่าสุดนี้วอลโว่ก็ก้าวไปอีกขั้น นั่นก็คือการตั้งเป้าว่าจะต้องปราศจากการชนกันโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว
นวัตกรรม Volvo Assistance
สิ่งที่เป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาคือระบบ Volvo Assistance ระบบที่ผู้ขับขี่สามารถกดปุ่มที่จะอยู่บนหลังคารถเพื่อรับความช่วยเหลือด้านต่างๆ ตั้งแต่กรณีเล็กน้อยเช่น รถสตาร์ทไม่ติด ไปถึงเหตุรุนแรงอย่างการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อประสานเรียกรถพยาบาลหรือตำรวจให้ไปยังที่เกิดเหตุได้ โดยตัวรถจะเชื่อมต่อกับ GNSS (Global Navigation Satellite System) ใน การ ระบุ ตำแหน่งของรถได้อย่างแม่นยำ
สำหรับระบบการโทรแจ้งเหตุการณ์อัตโนมัติที่สามารถโทรแจ้งเหตุเมื่อเกิดการชนรุนแรงคือ “สัญญาณเตือนการชนโดยอัตโนมัติ” ที่มีใน Volvo Assistance เป็นระบบที่ถ้าเกิดการชนขึ้น รถจะรายงานสถานการณ์นี้โดยอัตโนมัติไปยัง Volvo Assistance หรือศูนย์ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินที่สามารถช่วยประสานความช่วยเหลือให้ผู้ขับขี่ได้อย่างทันท่วงที
ระบบนี้จะทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุในระดับที่ “ถุงลมนิรภัยหรือตัวดึงเข็มขัดนิรภัยทำงาน” โดยรถจะโทรศัพท์ไปยัง Volvo Assistance โดยอัตโนมัติ พร้อมกับส่งข้อความที่มีตำแหน่งของรถและข้อมูลอื่นๆ ไปด้วยโดยจะมีขั้นตอนการทำงานดังนี้
- Volvo Assistance จะพยายามติดต่อเพื่อสนทนากับคนขับรถ และพยายามสอบถามเกี่ยวกับระดับความรุนแรงของการชน และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือหรือไม่
- จากนั้น Volvo Assistance จะติดต่อกับหน่วยงานให้ความช่วยเหลือที่จำเป็น (เจ้าหน้าที่ตำรวจ, รถพยาบาล, การกู้รถ เป็นต้น)
แต่ถ้าไม่สามารถติดต่อเพื่อสนทนากับคนขับได้ Volvo Assistance จะติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป
ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของการสร้างแบรนด์จนทำให้ “วอลโว่” อธิบายได้ด้วยคำว่า “ความปลอดภัย” ที่ผ่านวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง การตั้งเป้าหมาย การสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกอุตสาหกรรมยานยนต์มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ด้วยสิ่งเหล่านี้บวกกับการทำตลาดตอกย้ำเรื่องความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง การปรับภาพลักษณ์ให้แบรนด์มีความทันสมัย มีราคาที่จับต้องได้มากขึ้น การเดินหน้าสู่รถยนต์ EV อย่างเต็มตัว ก็ทำให้รถยนต์แบรนด์วอลโว่ เติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังมีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งในด้านความปลอดภัยเสมอมา สิ่งนี้เป็นผลสำเร็จอีกครั้งในไวรัลครั้งล่าสุดในแบบที่ไม่มีแบรนด์ไหนทำได้นั่นเอง