การขับเคลื่อนประเทศไทย ไปสู่การเป็น “Medical Hub” หรือ ศูนย์กลางทางการแพทย์ในระดับนานาชาติ นอกจากจะทำให้คนไทยเข้าถึงการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยแล้ว ขณะเดียวกันยังช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศผ่านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) อีกด้วย
โดยหนึ่งในแกนสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมทางการแพทย์ของไทยมีความแข็งแกร่ง และจะเป็นจิ๊กซอว์ผลักดันให้ไทยปักธงการเป็น Medical Hub ได้สำเร็จ คือ ความพร้อมของการเป็น “Medical Service Hub” หรือ “ศูนย์กลางบริการทางการแพทย์” ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา และมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์
ดังเช่น “โรงพยาบาลกรุงเทพ” ในเครือ BDMS ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศไทย มีเจตนารมย์ต้องการให้คนไทย และชาวต่างชาติ ได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ระดับสากล และยกระดับสู่การเป็น “Smart Healthcare” ที่ผสานทั้งทีมแพทย์ และทีมพยาบาลมีประสบการณ์ มีความเชี่ยวขาญ เข้ากับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย มีมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อทำให้คนไข้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่ดี
จากความมุ่งมั่นดังกล่าว โรงพยาบาลกรุงเทพจึงได้นำหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่ “The da Vinci Xi” ให้ทีมศัลยแพทย์ใช้ในการช่วยผ่าตัดในตำแหน่งที่ซับซ้อน และเข้าถึงยาก เพื่อช่วยให้การผ่าตัดแม่นยำและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผ่าตัดได้ละเอียดประณีต ลดผลแทรกซ้อน แผลเล็ก และฟื้นตัวไว
Marketing Oops! ชวนมาทำความรู้จักหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด “The da Vinci Xi” ถึงเทคโนโลยีการแพทย์นี้ พร้อมการชูแคมเปญ “For A Better Tomorrow: เปลี่ยนพรุ่งนี้ให้เป็นเรื่องง่าย” ที่มาจากอินไซต์จริงของคนไข้ สู่การตีโจทย์เป็นการสื่อสารที่โดนใจ! เพื่อเปลี่ยนความกังวลของคนไข้ให้เป็นความสบายใจ ทั้งการตัดสินใจผ่าตัด, การพักฟื้น และค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับโปรโมชั่น “ผ่าตัดสบายใจ ราคาสบายกระเป๋า”
เดินหน้าสู่เป้าหมาย “Smart Healthcare”
ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีของการให้บริการทางการแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ ในเครือ BDMSยึดมั่นวิสัยทัศน์มุ่งสู่ความเป็นเลิศทางการแพทย์ของเอเชียแปซิฟิก ด้วย Smart Healthcare ในระดับสากล และมีมาตรฐานสูงมาอย่างต่อเนื่อง
นพ.เอกกิตติ์ สุรการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ และศัลยแพทย์ทั่วไป โรงพยาบาลกรุงเทพ เล่าถึงเหตุผลที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้วย Smart Healthcare ริเริ่มตั้งแต่ทีมผู้ก่อตั้งมีความมุ่งมั่นอยากให้คนไทย และคนต่างประเทศ เข้าถึงบริการทางการแพทย์ในระดับสากล และได้ผลการรักษาที่ดี โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงยุโรป หรืออเมริกา
การพัฒนาบริการทางการแพทย์ในระดับสากลที่จะช่วยให้คนไข้ได้ผลการรักษาที่ดี มาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ
- ทีมแพทย์ และทีมพยาบาลที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ
- ความพร้อมของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมโรงพยาบาลกรุงเทพ ถึงทุ่มเทพัฒนาศักยภาพของทีมแพทย์ – ทีมพยาบาล พร้อมสร้างความร่วมมือทางการแพทย์ระดับนานาชาติ และลงทุนเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัย
“เราตั้งเป้าหมายเป็น “Smart Healthcare” นั่นหมายความว่าไม่ว่าองค์ความรู้ และเทคโนโลยีการรักษาที่ดีจะอยู่ที่ไหนในโลก ทางโรงพยาบาลจะจัดหามา เพื่อนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาช่วยให้แพทย์ทำงานได้มีประสิทธิภาพดีขึ้น สะดวกขึ้น ผ่าตัดได้ละเอียดประณีตขึ้น เพราะบางทีคนที่เก่ง ก็ไม่ได้ทำผ่าตัดได้ดี แต่เราจะช่วยให้หมอที่เก่ง ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีการผ่าตัดให้เหมาะกับคนไข้ได้อย่างเต็มฝีมือ เพื่อให้ได้ผลการรักษาดี”
นอกจากนี้ยังได้พัฒนา “Smart Service” ให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน My B+ เพื่อให้คนไข้ได้รับบริการทางการแพทย์ที่สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น เช่น นัดหมายแพทย์, ปรึกษาแพทย์ทางออนไลน์ รวมถึงออกแบบระบบบริหารจัดการในโรงพยาบาล ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ช่วยให้แพทย์ทำงานสะดวก และคล่องตัวขึ้น เช่น สามารถเรียกดูผล Lab ได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งทำให้คนไข้ได้โอกาสการรักษาที่ดี โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา และสถานที่
ทำความรู้จัก “The da Vinci Xi” หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด
เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ หนึ่งในเทคโนโลยีที่ทันสมัยในเวลานี้ ต้องยกให้กับ “The da Vinci Xi” หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นที่ “โรงพยาบาลกรุงเทพ” ได้ลงทุนนำมาใช้ในการผ่าตัด เพราะเล็งเห็นว่าเป็นเทคโนโลยีที่จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อทีมศัลยแพทย์เอง และคนไข้
“เราพบว่าการผ่าตัดในบางบริเวณ ซับซ้อน และเข้าถึงยาก ถึงจะใช้วิธีผ่าตัดส่องกล้อง ก็ยังยาก เพราะฉะนั้นเราเอา The da Vinci Xi มาช่วยให้แพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดสูงอยู่แล้ว ทำการผ่าตัดอย่างเต็มที่มากขึ้น ประณีตละเอียดขึ้น เพราะแขนกลหุ่นยนต์ สามารถหมุนได้ 360 องศา ทำให้การเข้าถึงตำแหน่งที่จะผ่าตัด และการเย็บทำได้ละเอียดมาก ในขณะที่มือคน หมุนได้จำกัด หรือเครื่องมือส่องกล้อง ก็ยังทำได้จำกัด” นพ.เอกกิตติ์ อธิบายเหตุผลที่ลงทุนเทคโนโลยี The da Vinci Xi
ทีนี้มาเจาะลึกกันว่า “The da Vinci Xi” คืออะไร มีกลไกทำงานอย่างไร และเหมาะกับการผ่าตัดรักษาโรคอะไร ?
“The da Vinci Xi” คือ หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรูปแบบ “แขนกล 4 แขน” สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ หมุนได้รอบทิศทาง เปรียบเสมือนแขนของแพทย์ที่เพิ่มเข้ามาเพื่อช่วยผ่าตัดในบริเวณที่ซับซ้อนหรือเข้าถึงยาก ทำงานอย่างเป็นระบบด้วย 3 ส่วนหลักคือ
- ส่วนควบคุมการผ่าตัด (Surgeon Console) ศัลยแพทย์ควบคุมการทำงานของแขนกลทั้ง 4 แขนได้เหมือนการผ่าตัดปกติ มีจอภาพ 3 มิติแสดงให้เห็นอวัยวะภายในอย่างละเอียด และระบบจะถ่ายทอดสัญญาณการเคลื่อนไหวจากมือศัลยแพทย์ ไปยังแขนกลของหุ่นยนต์ที่ทำการผ่าตัดภายในร่างกายผู้ป่วย
- แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Patient Cart) ประกอบด้วยแขนกล 4 แขนที่หมุนได้อย่างอิสระรอบทิศทาง
– แขนหนึ่ง ถือกล้อง 3 มิติ เพื่อส่งภาพมาแสดงผลบนจอแบบ 3 มิติ
– อีก 3 แขนถืออุปกรณ์การผ่าตัด เข้าไปผ่าตัดในบริเวณที่ซับซ้อน และเข้าถึงยาก
- ระบบประมวลผลและควบคุมภาพ (Vision Cart) อุปกรณ์เสริมที่ช่วยแสดงภาพอวัยวะภายใน มีหน่วยประมวลผลและซอฟต์แวร์ที่ช่วยควบคุมและวิเคราะห์การทำงานของระบบ ทำให้ปรับค่าต่างๆ ได้สะดวกและเหมาะกับผู้ป่วย
เพราะฉะนั้นหลักการทำงานของหุ่นยนต์แขนกล The da Vinci Xi ต้องมี
“ศัลยแพทย์” เป็นผู้ควบคุมการเคลื่อนไหวของแขนกลทั้งหมดผ่านคอนโซลที่ศัลยแพทย์จะเห็นตำแหน่งและบริเวณที่จะผ่าเป็นภาพ 3 มิติ พร้อมทั้งสั่งการจากบริเวณใกล้เคียง ไม่ได้ยืนข้างเตียงคนไข้เหมือนการผ่าตัดแบบดั้งเดิม แต่จะมีแพทย์ผู้ช่วยผ่าตัดอยู่ข้างเตียงคนไข้ เพื่อช่วยในการสลับเปลี่ยนอุปกรณ์ผ่าตัด
“จากในอดีตแพทย์ต้องใช้วิธีผ่าตัดแบบเปิด ต่อมามีเทคโนโลยีการผ่าตัดส่องกล้อง โดยแพทย์ผ่าตัดจะส่องกล้องเข้าไปดูอวัยวะภายใน แต่ด้วยอุปกรณ์การผ่าตัดแบบส่องกล้อง ยังเข้าไปในลักษณะเส้นตรง จึงมีข้อจำกัดในบางกรณี เช่น เมื่อใส่อุปกรณ์การผ่าตัดเข้าไปในช่องเดียวกัน ด้วยความที่เป็นอุปกรณ์ลักษณะตรง และผ่าตัดบริเวณที่แคบ อาจเกิด fencing หรือการชนกันระหว่างอุปกรณ์
ในขณะที่ The da Vinci Xi เป็นการรวมข้อดีของการผ่าตัดแบบเปิด และการผ่าตัดส่องกล้อง คือ มีกล้อง 3 มิติ ช่วยให้แพทย์เห็นภาพอวัยวะภายในชัดเจน โดยสามารถพลิกคว่ำการแสดงผลภาพ มองขึ้น-ลงได้ ทำให้เห็นตำแหน่งที่จะผ่าตัดชัดเจน และด้วยแขนกลหุ่นยนต์ที่หมุนได้ 360 องศา 7 ทิศทาง ทำให้สามารถนำอุปกรณ์เข้าไปผ่าตัดในบริเวณซับซ้อน เข้าถึงยาก โดยมีแพทย์เป็นผู้ควบคุมทั้งหมด จึงช่วยให้แพทย์ทำการผ่าตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพแม่นยำมากขึ้น” นพ.ผดุงเกียรติ ตั้งพิรุฬห์ธรรม ศัลยแพทย์ทรวงอก ทีมศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด The da Vinci Xi ฉายภาพถึงพัฒนาการการผ่าตัด และจุดเด่นของหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด
กว่าจะเป็นแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดด้วย The da Vinci Xi ต้องผ่านการฝึกอบรมและทดสอบหลายด่าน!
จากหลักการทำงานของ The da Vinci Xi จะเห็นได้ว่าถึงอย่างไรแพทย์ต้องเป็นผู้ควบคุมการผ่าตัด ดังนั้น ศัลยแพทย์ที่สามารถใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดได้นั้น จึงต้องผ่านการฝึกอบรมและผ่านการทดสอบหลายด่าน เพื่อให้คนไข้มั่นใจได้ว่าอยู่ในการดูแลจากศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดด้วย The da Vinci Xi อย่างแท้จริง
นพ.ผดุงเกียรติ เล่าแนวทางการคัดเลือกศัลยแพทย์ และการพัฒนาทักษะทีมศัลยแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ เริ่มจาก คัดเลือกศัลยแพทย์ที่มีฝีมือดี มีประสบการณ์ในการผ่าตัดด้านนั้นๆ มาก่อน จากนั้นฝึกอบรม และทดสอบกับเครื่อง Simulator ก่อน ในการทดสอบมีประมาณ 20 – 30 ด่าน ในแต่ละด่าน ผู้ที่จะผ่านได้นั้นต้องมีระดับความแม่นยำเกิน 90% ขึ้นไป และต้องผ่านทุกด่าน ถึงจะได้ใบประกาศนียบัตรผ่านการทดสอบกับ Simulator
เมื่อได้ Certificate แล้ว ทางโรงพยาบาลจะส่งศัลยแพทย์ไปฝึกอบรม และทดสอบการใช้เครื่อง The da Vinci Xi ที่ต่างประเทศ และหลังจากผ่านแล้ว เมื่อกลับมา การผ่าตัดโดยใช้ The da Vinci Xi ในช่วงแรกต้องมี “แพทย์ผู้ชำนาญการด้านการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด The da Vinci Xi”เป็นพี่เลี้ยงช่วยดูระหว่างการผ่าตัด ซึ่งเป็นทีมศัลยแพทย์ในแผนกด้วยกันเอง โดยมีระบบการตรวจสอบและประเมินผลที่ชัดเจน
เมื่อแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการผ่าตัดด้วย The da Vinci Xi เห็นว่าศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดด้วยความชำนาญ ไม่มีความเสี่ยงต่อผู้ป่วย ก็จะแจ้งกับคณะกรรมการตรวจสอบหลักฐานและธรรมนูญองค์กรแพทย์ (Credential and Bylaws Committee) ของโรงพยาบาลกรุงเทพ เพื่อตรวจคุณสมบัติและอนุมัติสิทธิ์การผ่าตัดทำหัตถการ กับศัลยแพทย์นั้นๆ ว่าสามารถผ่าตัดโดยใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด The da Vinci Xi ได้แล้ว ถึงจะสามารถผ่าตัดได้เองในครั้งต่อๆ ไป
นอกจากศัลยแพทย์ประจำที่ทำการผ่าตัดโดยใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดแล้ว โรงพยาบาลกรุงเทพยังเชิญอาจารย์แพทย์ที่อยู่โรงเรียนแพทย์ที่มีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด The da Vinci Xi ด้วยเช่นกัน ซึ่งถือเป็นอาจารย์ศัลยแพทย์ที่ปรึกษา และมีความเชี่ยวชาญการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ดังกล่าวนี้ มาช่วยผ่าตัดในภารกิจพิเศษ
The da Vinci Xi เหมาะกับการผ่าตัดโรคอะไร ?
ปัจจุบันการผ่าตัด มี 3 รูปแบบ คือ ผ่าตัดแบบเปิด, ผ่าตัดส่องกล้อง และผ่าตัดโดยใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดแต่ละแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของคนไข้ เช่น ประเภทโรค, ตำแหน่งที่ต้องผ่าตัด โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและให้คำแนะนำ
สำหรับหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด The da Vinci Xi เหมาะกับการผ่าตัดในตำแหน่งที่ลึก ซับซ้อน เข้าถึงยาก ตำแหน่งอยู่ใกล้โครงสร้างสำคัญ เช่น ใกล้เส้นเลือด เส้นประสาท และโรคที่มีความซับซ้อน อาทิ
– โรคในช่องอกและปอด เช่น มะเร็งปอด เนื้องอกต่อมไทมัส เป็นต้น
– โรคระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งไต เป็นต้น
– โรคในช่องท้อง เช่น มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งถุงน้ำดี นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น
– โรคระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก เป็นต้น
– โรคทางนรีเวช เช่น เนื้องอกหรือมะเร็งมดลูก เนื้องอกรังไข่ ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน เป็นต้น
– โรคทางช่องปากและลำคอ เช่น เนื้องอกในช่องคอ, ก้อนเนื้อบริเวณลำคอ, มะเร็งโคนลิ้น, มะเร็งกล่องเสียง, มะเร็งหลังโพรงจมูก เป็นต้น
ด้วยความที่เป็นแขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด The da Vinci Xi สามารถหมุนปรับองศาได้รอบด้าน และมีขนาดเล็ก แพทย์จึงทำการผ่าตัดในตำแหน่งที่เข้าถึงยากและซับซ้อน การผ่าตัดเป็นไปอย่างนุ่มนวล ละเอียดประณีต ลดความชอกช้ำต่ออวัยวะ ลดการกระทบอวัยวะข้างเคียงกับตำแหน่งผ่าตัด ลดการเสียเลือด และแผลผ่าตัดเล็ก ทำให้คนไข้เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็วขึ้น
ชูแคมเปญ “For A Better Tomorrow” เปลี่ยนความกังวลของคนไข้ให้เป็นความสบายใจ
ไม่เพียงแต่นำเทคโนโลยีทางการแพทย์ The da Vinci Xi มาช่วยในการผ่าตัดเท่านั้น ล่าสุดโรงพยาบาลกรุงเทพ ยังได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ “For A Better Tomorrow – เปลี่ยนพรุ่งนี้ให้เป็นเรื่องง่าย” มาจาก Insights จริงของคนไข้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด รู้สึกเป็นกังวล ทั้งตอนตัดสินใจจะผ่าตัด ในช่วงเวลาก่อนเข้าผ่าตัด ช่วงเข้าห้องผ่าตัด และยังต้องกังวลกับผลหลังผ่าตัด
จาก Insights ดังกล่าว นำไปสู่การตีโจทย์ออกมาเป็นแคมเปญ For A Better Tomorrow เปลี่ยนพรุ่งนี้ให้เป็นเรื่องง่าย เพื่อเปลี่ยนความกังวลให้เป็นความสบายใจ และเปลี่ยนความรู้สึกต่อโรงพยาบาลให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ตั้งแต่เดินเข้ามาจนถึงกลับออกไป เพราะด้วยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย อย่างหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด The da Vinci Xi หรือแม้แต่เทคโนโลยีการรักษาต่างๆ เช่น เลเซอร์ริดสีดวง เป็นต้น
จึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไข้ และเปลี่ยนทุกขั้นตอนให้เป็นเรื่องง่าย ทั้งง่ายต่อการตัดสินใจผ่าตัด, ความสบายใจไร้กังวล, การพักฟื้น และค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม โดยโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ออกแบบแพ็คเกจราคาผ่าตัด ภายใต้แนวคิด “ผ่าตัดสบายใจ ราคาสบายกระเป๋า” ไม่ว่าคนไข้จะผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด The da Vinci XI หรือผ่าตัดส่องกล้อง อยู่ในราคาเดียวกัน เพื่อให้คนไข้ตัดสินใจง่าย คลายกังวลทั้งเรื่องการรักษา และค่าใช้จ่าย
ที่มาของแคมเปญ For A Better Tomorrow เปลี่ยนพรุ่งนี้ให้เป็นเรื่องง่าย เนื่องจากเราอยากให้คนไข้มั่นใจและสบายใจว่า ถ้าวันนี้ต้องผ่าตัด พรุ่งนี้เขาจะดีขึ้น ทั้งโรคหาย ฟื้นตัวไว และค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมตามแนวคิด “ผ่าตัดสบายใจ ราคาสบายกระเป๋า” ซึ่งทีมบริหารและทีมการตลาดของโรงพยาบาล ได้คุยกันว่าต้องคุมราคาให้อยู่ในระดับที่คนไข้ตัดสินใจง่าย และระดับราคาไม่แตกต่างกันมากนัก ทั้งการผ่าตัดส่องกล้อง และการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์
เนื่องจากแนวคิดของโรงพยาบาลคือ ถ้าคนไข้จะต้องเลือกการผ่าตัดด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่ควรตัดสินใจจากเรื่องราคาว่าแบบไหนถูก แบบไหนแพง แต่ควรตัดสินจากโรคของเขา ตำแหน่งของโรค เพื่อดูว่าวิธีการผ่าตัดวิธีไหนที่เหมาะกับตัวเขาเองมากที่สุด
“ดังนั้น เราจึงทำแพ็กเกจราคาผ่าตัดแต่ละรูปแบบให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน เพื่อคนไข้จะได้ไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่าย โดยแพทย์จะเป็นผู้วางแผนการรักษาว่าวิธีไหนเหมาะสมกับคนไข้ รวมถึงแผนค่าใช้จ่ายของคนไข้จะระบุราคาไว้อย่างชัดเจน” นพ.เอกกิตติ์ กล่าวถึงที่มาของแคมเปญ และแพ็คเกจราคาที่ต้องการให้คนไข้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ล่าสุดเพื่อปลดล็อคความกังวลค่าใช้จ่าย โรงพยาบาลกรุงเทพได้จัดโปรโมชั่นพิเศษแพ็กเกจผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด The da Vinci Xi ระหว่างวันที่ 15 กันยายน 2566 – 30 เมษายน 2567 คลิกเพิ่มเติม: https://www.bangkokhospital.com/campaign/robotic-surgery
สำหรับเป้าหมายแคมเปญ “For A Better Tomorrow เปลี่ยนพรุ่งนี้ให้เป็นเรื่องง่าย” มุ่งหวังว่าจะทำให้ผู้บริโภครับรู้ถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด The da Vinci Xi มากขึ้น และตั้งเป้าเพิ่มจำนวนเคสผ่าตัดด้วย The da Vinci Xi ของโรงพยาบาลกรุงเทพเป็น 200 รายต่อปี
ขณะเดียวกันได้วางเป้าหมายด้าน Smart Healthcare ใน 3 – 5 ปีข้างหน้าจากนี้ใน 2 ด้านหลักคือ
- ทำให้คนไข้ที่ใช้บริการโรงพยาบาล ได้รับความสะดวกที่สุด ปัจจุบันโรงพยาบาลกรุงเทพพัฒนาแอปพลิเคชั่น My B+ ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพคนไข้ได้ทุกที่ทุกเวลา เช่น นัดหมายแพทย์, ตรวจเช็กข้อมูลสุขภาพ, บริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์, Smart E-payment ชำระเงินและบริการต่างๆ และในกรณีที่คนไข้ไม่สะดวกรับยากลับทันที เช่น มีธุระต้องไปต่อ ก็มีบริการจัดส่งยาให้ถึงที่บ้าน ควบคู่การการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยอื่นๆ มาใช้ในการรักษา
- สร้างความร่วมมือกับศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์จากทั่วโลก (Collaboration) เพื่อสร้างเครือข่ายกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก ต่อยอดสู่การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ คำแนะนำ และการรักษาร่วมกัน
“เรามีทั้งคุณหมอที่เชี่ยวชาญ และมีเทคโนโลยีการแพทย์ที่ดี ดังนั้นไม่ว่าเทคโนโลยีในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หน้าที่ของเราที่ถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดคือ เลือกสรรเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การรักษาที่ดีให้กับคนไข้ เอาเทคโนโลยีนั้นๆ มาใช้ได้อย่างเหมาะสม และต้องมั่นใจว่าทีมแพทย์ของเรา พร้อมจะไปในทิศทางนี้ เพื่อทำให้คนไข้ได้รับบริการที่ดีและมีประโยชน์”นพ.เอกกิตติ์ สรุปทิ้งท้าย