เมื่อเอ่ยถึงธุรกิจค้าส่ง ชื่อ “แม็คโคร” (Makro) เป็นชื่อแรกที่คนไทยนึกถึง เพราะเป็นผู้ให้บริการค้าส่งแบบระบบสมาชิก หรือ Cash & Carry รายแรกในประเทศไทย ซึ่งตลอดระยะเวลา 34 ปี เส้นทางของ “แม็คโคร” ในไทย ได้ปักธงการเป็นตัวจริงค้าส่งที่ผู้ประกอบการให้ความไว้วางใจ ด้วยทีมงานที่แข็งแกร่งพร้อมส่งมอบสินค้าคุณภาพ หลากหลาย คุ้มค่า และยืนหนึ่งด้านราคา
ที่สำคัญไม่เพียงเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าแบบขายส่งที่มีสาขาทั่วประเทศเท่านั้น หากแต่ยังเป็น “คู่คิด” ของผู้ประกอบการที่ร่วมพัฒนาธุรกิจให้เติบโตไปด้วยกัน ผ่านการผสมผสานระหว่างทีมผู้บริหารมากประสบการณ์ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าส่ง มีความเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดีมาอย่างยาวนาน และทีมงานรุ่นใหม่ที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาร่วมสร้างกลยุทธ์ ผ่าน 5 จุดแข็งที่ทำให้ตลอดเส้นทาง 34 ปี ของแม็คโครประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่งในไทย
จุดเริ่มต้นของ “แม็คโคร” (Makro) ที่เข้ามาปักหมุดในประเทศไทยเมื่อปี 2531 ด้วยการจดทะเบียนจัดตั้ง “บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด” ถือเป็นธุรกิจค้าส่งรูปแบบสมาชิก (Cash & Carry) รายแรกในไทย ไม่เพียงแต่โฟกัสตลาดในไทยเท่านั้น แม็คโคร ยังได้มองหาโอกาสการเติบโตใหม่ในตลาดเอเชีย โดยในปี 2560 เปิดศูนย์จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคครบวงจรในระบบสมาชิกสาขาแรกในอาเซียนที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ถึงปัจจุบันแม็คโคร มีสาขาในประเทศไทยกว่า 155 สาขา และต่างประเทศ 10 สาขาใน 4 ประเทศ
ล่าสุดในปี 2566 ได้เกิด Big Move ครั้งสำคัญเมื่อ “บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)” ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน)” หรือ “CP AXTRA” รวมทั้งชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ จาก MAKRO เป็น “CPAXT” เพื่อสะท้อนภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย แบรนด์ค้าส่งแม็คโคร และบริษัทย่อยค้าปลีกแบรนด์ โลตัส รวมถึงเพื่อรองรับธุรกิจอื่นๆ ในอนาคต
วิเคราะห์ 5 กลยุทธ์สร้างความสำเร็จ “แม็คโคร” ยืนหนึ่งผู้นำธุรกิจค้าส่งในไทย
หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อน “แม็คโคร” ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง มาจาก 5 จุดแข็งในการทำธุรกิจ
1. เข้าใจลูกค้า
ส่งมอบ “ความหลากหลายของสินค้า – ความคุ้มค่าคุ้มราคา” ช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุนธุรกิจ – ลดภาระค่าครองชีพผู้บริโภค
สิ่งที่ตอกย้ำความเป็นตัวจริงค้าส่งที่ผู้ประกอบการไว้วางใจ คือ ความหลากหลายของสินค้าอุปโภคบริโภค และของสด ครอบคลุมตั้งแต่แบรนด์ชั้นนำระดับโลก แบรนด์ไทย ไปจนถึงแบรนด์ SME และสินค้าจากเกษตรกรท้องถิ่น ที่ผ่านการคัดสรรคุณภาพ และมาตรฐาน เพื่อให้ลูกค้ามาที่แม็คโคร มั่นใจได้ว่าจะได้สินค้าคุณภาพดีกลับไป และซื้อได้ครบจบในที่เดียว
นอกจากความหลากหลายของสินค้าแล้ว แม็คโครยังส่งมอบ Value Proposition “คุ้มค่า ราคายืนหนึ่ง” ย้ำจุดแข็งการเป็นผู้นำราคาขายส่ง ด้วยการจัดแคมเปญราคาพิเศษอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลูกค้าผู้ประกอบการลดต้นทุนธุรกิจ และลูกค้าทั่วไป ประหยัดค่าใช้จ่าย
2. เข้าใจความต้องการ
คัดสรรสินค้าคุณภาพจากหลากหลายผู้ผลิต การันตีความสม่ำเสมอของสินค้า ไม่ขาดสต็อก!
อีกหนึ่งจุดแข็งของแม็คโคร คือ การจัดหา (Sourcing) สินค้าคุณภาพจากผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ที่หลากหลายทั้งสินค้าจากเกษตรกรภายในประเทศ และสินค้าจากแหล่งผลิตชั้นนำทั่วโลก ซึ่งการเป็นแหล่งรวมสินค้าและวัตถุดิบคุณภาพ ไม่ใช่เรื่องง่าย! เพราะต้องมาจากการพัฒนาและรักษาความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยาวนานกับผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้า โดยทีมงานได้สร้างความร่วมมือกับผู้ผลิตและจัดจำหน่ายจากหลากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ผู้ผลิตรายย่อยในท้องถิ่น เกษตรกร และชาวประมงมีความสัมพันธ์กับแม็คโครมายาวนานกว่า 30 ปี
จากกลยุทธ์ Sourcing สินค้า ทำให้แม็คโครสามารถบริหารจัดการสินค้าในสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสม่ำเสมอ ไม่ขาดสต็อก ผู้ประกอบการและผู้บริโภคทั่วไปจึงมั่นใจได้ว่าวัตถุดิบทั้ง Food และ Non-food ที่แม็คโคร จะมีจำหน่ายเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าและผู้ประกอบการได้ตลอด
3. เข้าใจเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
เดินหน้าขยาย “สาขา” เข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศ – หนุน “ธุรกิจท้องถิ่น” สร้างเศรษฐกิจชุมชนเติบโต
การขยายสาขาเป็นหัวใจหลักของธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เนื่องจากเป็น Network ในการเข้าถึงผู้คนทั่วประเทศ ตลอด 34 ปีที่ผ่านมา แม็คโครเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่อง พร้อมทั้งพัฒนา Store Format ให้สอดคล้องกับโลเคชัน และความต้องการของลูกค้าในทำเลนั้นๆ โดยในปี 2566 แม็คโครวางเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ 10 – 12 สาขาทั่วประเทศ
นอกจากเปิดสาขาใหม่แล้ว แม็คโคร ได้ให้การสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น และสร้างงานสร้างอาชีพในท้องถิ่น เพื่อสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น และเศรษฐกิจของจังหวัดนั้นๆ ถือเป็นการสร้าง Social Engagement กับชุมชนที่สาขาแม็คโครเข้าไปตั้งอยู่
4. สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย
สนับสนุน “โชห่วยไทย” พัฒนาศักยภาพ – ยกระดับมาตรฐานร้านค้าปลีกให้ทันสมัย
ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จะเกิดช่องทางการค้าขายรูปแบบใหม่เพียงไร แต่ “ธุรกิจโชห่วย” หรือร้านค้าปลีกรายย่อยที่กระจายอยู่ตามชุมชน ตรอกซอกซอยต่างๆ ทั่วประเทศ มีบทบาทสำคัญในสังคมไทย คนไทย และระบบเศรษฐกิจไทย
สะท้อนได้จากจำนวนธุรกิจโชห่วยในไทยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1.03 ล้านล้านบาท (ข้อมูลจากรมพัฒนาธุรกิจ) ซึ่งร้านค้าปลีกรายย่อยเหล่านี้ เป็นช่องทางการขายสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันให้กับคนในชุมชนที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกคน ทุกกำลังซื้อ และช่วยนำพาสินค้าต่างๆ กระจายสู่ตลาดในวงกว้าง
ความสำคัญของร้านโชห่วยที่มีต่อสังคมไทย คนไทย และเป็นฟันเฟืองของเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ แม็คโคร ในฐานะผู้นำในธุรกิจค้าส่งที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมา 34 ปี เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการรายย่อยมาโดยตลอด จึงจัดตั้งโครงการมิตรแท้โชห่วยที่ได้รวบรวมองค์ความรู้จากการทำงานใกล้ชิดโชห่วยมาช่วยในการให้คำแนะนำ พัฒนาและยกระดับมาตรฐานร้านค้าปลีกให้ทันสมัย ช่วยเพิ่มรายได้ และเสริมกำไรให้ร้านค้า ตอกย้ำการเป็นคู่คิดธุรกิจในทุกมิติ
โดยมีทีมงานมืออาชีพของแม็คโคร ให้บริการคำแนะนำ ให้คำปรึกษา และทำงานใกล้ชิดกับร้านค้าโชห่วยกว่า 500,000 ร้านค้า ตั้งแต่เริ่มต้นเปิดธุรกิจ เปิดร้านใหม่ หรือปรับปรุงร้าน รวมถึงการรวบรวมองค์ความรู้จากการดำเนินโครงการมิตรแท้โชห่วย ผสานกับประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และองค์ความรู้ในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง มาสร้างโมเดลและสูตรสำเร็จ เพื่อตอบโจทย์เจ้าของร้านโชห่วยยุคใหม่ที่ต้องการยกระดับมาตรฐานร้านค้าปลีกให้ทันสมัย ช่วยเพิ่มรายได้ และเสริมกำไรให้ร้านค้า
5. เข้าใจธุรกิจในยุคดิจิทัล พนักงานได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของตลาด เพื่อผสานแพล็ตฟอร์มออนไลน์และแม็คโคร สโตร์เพื่อเชื่อมการขายสินค้าอย่างไร้รอยต่อ (Omni-Channel) ให้มีประสิทธิภาพการบริการอย่างครบวงจร
การพัฒนาการอุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่งทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย เข้าสู่ยุค “Omni-Channel” หรือ “O2O” เต็มรูปแบบแล้ว เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยี และความต้องการของลูกค้า แม็คโคร ได้ทรานส์ฟอร์มตัวเองเข้าสู่ยุค O2O เช่นกัน โดยลงทุนพัฒนาแอปพลิเคชัน “Makro PRO” ภายใต้แนวคิด “สั่ง ขาย คุ้ม อย่างโปรในแอปเดียว” ตอบโจทย์ความสะดวกและความครบวงจรให้กับผู้ประกอบการ
จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลา 34 ปี ทีมงานที่เป็นเบื้องหลังความสำเร็จของ “แม็คโคร” ไม่เคยหยุดพัฒนาเพื่อผู้ประกอบการ และผู้บริโภคทั่วไป ทั้งการเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าถึงลูกค้าอย่างทั่วถึง รวมถึงนำเสนอสินค้าจากผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชั้นนำ เกษตรกรและชาวประมงท้องถิ่น และสินค้า SME ทั่วไทย ตอกย้ำการเป็นแหล่งรวมสินค้าคุณภาพ คุ้มค่า ราคายืนหนึ่ง เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ และค่าครองชีพของผู้บริโภค พร้อมทั้งเติมเต็มความสะดวกสบายด้านการช้อปผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะทำให้ “แม็คโคร” ก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่งในยุค O2O ดังนั้น 34 ปี ของแม็คโครจึงมิใช่เพียงความสำเร็จของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความมุ่งมั่นและความเชี่ยวชาญของทีมงานทุกคนที่นำพาให้องค์กรยืนหยัดในธุรกิจค้าส่งมาอย่างยาวนาน