ตอนนี้ที่การตลาดนั้นแข่งขันกันสูงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจใด ๆ ก็ตามก็ย่อมจะหานวัตกรรมที่จะมาช่วยในการทำธุรกิจเพื่อที่ะจะทำให้เอาชนะคู่แข่งได้ ซึ่งการเป็น Performance Branding เป็นหนึ่งในวิธีการที่ได้รับความนิยมในช่วงที่ผ่านมา ที่พยายามจะเปลี่ยนการทำการตลาดของตัวเอง เพื่อให้ผลลงทุนที่คุ้มค่ากลับมาจากการลงเงินการตลาดไป ซึ่ง Performance Branding เป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างมากในการที่จะทำให้แบรนด์นั้นขยายฐานของตัวเองไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มากขึ้นไปอีก และทำให้เกิดการจดจำแบรนด์ของตัวเองมากขึ้นได้ โดยการยกระดับการทำกลยุทธ์ Data-driven marketing และ ธุรกิจของตัวเองขึ้นมา เพื่อให้ได้ Leads ที่มีมากขึ้นและได้คุณภาพมากขึ้นที่จะเปลี่ยนให้เป็นลูกค้าได้
Performance branding คืออะไร Performance branding เป็นกลยุทธ์ Data-driven marketing ที่รวมเอาวิธีการในการทำ Brand ในแบบดั้งเดิม มาผสมผสานกับการทำเป้าหมายทางการทำการตลาดแบบ performance marketing เรียกง่าย ๆ คือ การทำการตลาดแบบดั้งเดิมในแคมเปญต่าง ๆ แล้วเอา Analytics แบบต่าง ๆ เข้าไปวัดหาว่า กลุ่มลูกค้าแบบไหนที่มีคุณค่ามากที่สุด และกลุ่มลูกค้าแต่ละแบบจะสื่อสาร และนำเสนอโปรโมชั่น เนื้อหาต่าง ๆ แบบไหนนั้นเอง
ทำไมถึงต้องเอา Performance Marketing และ Branding มารวมกัน การรวมทั้ง 2 เรื่องเข้าด้วยกันนั้นจะทำให้บริษัทหรือธุรกิจนั้นมีความทรงพลังมากยิ่งขึ้น ทำแคมเปญต่าง ๆ ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น การที่เอา การตลาดแบบดั้งเดิม การทำแบรนด์แบบดั้งเดิม มาใส่เป้าหมายเชิงการวิเคราะห์ตัวเลขเข้าไป ทำให้ธุรกิจและการตลาดจะได้มุมมอง insight ใหม่ ๆ จากลูกค้า จากแหล่งที่มาใหม่ ๆ ได้ด้วย และสามารถทำให้จำแนกลูกค้าแต่ละประเภทได้
นอกจากนี้การทำเช่นนี้ทำให้ธุรกิจนั้นสามารถเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมต่าง ๆ ที่รวดเร็วมากขึ้น และทำงานกับปัจจัยที่แปรเปลี่ยนไป ที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจของลูกค้าในการซื้อสินค้าต่าง ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น การใช้ Data-driven marketing ในการทำ email automation หรือ personalized content ย่อมสร้างความรู้สึก relevance มากกว่าการส่งแบบทั่วไปและทำให้เกิด Experience ในระดับอารมณ์ของกลุ่มเป้าหมายได้ด้วย ทำให้การทำแคมเปญนั้นดีขึ้นมากกว่า การทำการตลาดแบบดั้งเดิมที่เคยทำ
การทำ Performance branding นั้นสามารถช่วยให้บริษัทและธุรกิจนั้นจะได้ข้อมูลที่สำคัญมาเพื่อที่จะเอามาพัฒนาแบรนด์ได้แก่
1. Brand Persona : ด้วยการใช้ data ที่มากขึ้น จะทำให้แบรนด์นั้นสามารถเข้าใจและหาได้ว่า ideal customer profile ที่ต้องการนั้นเป็นแบบไหน พร้อมสร้างภาพแบรนด์ที่แม่นยำได้
2. Brand Marketing : ทำให้สามารถเข้าใจได้ว่าแคมเปญต่าง ๆ ของตัวเองทำงานได้ดีแค่ไหน ถูกที่ ถูกเวลา ถูกคนหรือไม่
3. Brand Strength : ทำให้สามารถเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าได้ดีมากขึ้น ทำให้สามารถสร้างยอดขายเพิ่มได้ หรือทำให้แบรนด์มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นได้
ทั้งนี้การที่จะเป็น Performance branding นั้นต้องประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
1. Personalization คือการสามารถที่จะทำการตลาดเฉพาะบุคคลได้ โดยการส่งเนื้อหาทางการตลาดแก่ความต้องการเฉพาะบุคคลได้เลย
2. Optimization คือความสามารถที่จะรีดศักยภาพแคมเปญทางการตลาดให้ได้มากที่สุดในแบบ real-time โดยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบ real-time
3. Measurement คือการสามารถวัดผลของการกระทำออกมาว่ามีความคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน และจะนำไปปรับปรุงต่อยอดอย่างไร
นอกจาก 3 องค์ประกอบนี้แล้วที่ Performance branding ที่ต้องมี ยังมีกลยุทธ์อื่น ๆ ที่ต้องทำเพื่อให้ถึงเป้าหมายการเป็นPerformance branding ด้วยคือ
1. Customer segmentation : คือการสามารถจัดกลุ่มลูกค้าได้ และนำเสนอสินค้าให้ตรงกลุ่มได้
2. Multi-channel marketing : คือการที่สามารถทำการตลาดในหลากหลายช่องทางได้
3. Data analysis : คือการที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ จนมาเป็น insight ได้
4. Customer feedback : คือการที่สามารถเอาความเห็นของลูกค้ามาพัฒนาต่อเนื่องได้