Goal Gradient Effect: การให้รางวัลสร้าง Customer Experience ให้ดีขึ้นได้อย่างไร

  • 401
  •  
  •  
  •  
  •  

 

การที่จะโน้มน้าวให้ผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายทำตาม Journey นั้นเป็นเรื่องยากอย่างมาก เพราะกลุ่มเป้าหมายอาจจะล้มเลิกกลางคันก็เป็นได้ ดังนั้นการรักษากลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าระหว่างให้ได้ การมีแรงดึงดูดให้ทำต่อจึงเป็นเรื่องจำเป็น และนี้เป็นส่วนที่จิตวิทยาเข้ามาเติมเต็ม โดยใช้หลักการที่เรียกว่า Goal Gradient Effect

Goal Gradient Effect เป็นหลักการที่นักพฤติกรรมศาสตร์ Clark Hull  ได้นำเสนอในปี 1932 โดยระบุว่า เมื่อคนเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นมากแค่ไหน หรือเข้าใกล้การที่จะได้รางวัลมากแค่ไหน ก็ยิ่งมีพฤติกรรมที่จะเร่งเพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้นให้เร็วขึ้นแปลความได้ง่าย ๆ คือคนสามารถถูกกระตุ้นได้ว่า จะถึงเส้นชัยเมื่อไหร่ได้ง่ายมากกว่า เดินทางมายาวนานแค่ไหนแล้ว ซึ่งในการทดลองของ Clark Hull  ได้ทดลองกับหนูที่วิ่งในเข้าวงกต เขาพบว่าหนูจะวิ่งเร็วขึ้นเมื่อเข้าใกล้อาหาร เมื่อเทียบกับตอนเริ่มต้นที่เดินในเข้าวงกต

 

นักการตลาดจะเอา Goal Gradient Effect มาใช้ในการตลาดได้อย่างไร

สิ่งแรกที่นักการตลาดต้องทำให้ชัดเจนก่อนในเงื่อนไขที่จะใช้ Goal Gradient Effect คือการที่ต้องรู้ว่า อะไรคือจุดสิ้นสุดหรือเป้าหมายของ Journey ของกลุ่มเป้าหมาย เพราะจากหลักการ Goal Gradient Effect ที่ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายเท่าไหร่ ยิ่งทำให้กลุ่มเป้าหมายยิ่งพยายามหรือเร่งให้ถึงเป้าหมายมากขึ้น ถ้าไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร หรือเป้าหมายไม่ชัดเจน ก็ยากที่จะรู้ว่าจะลงแรงไปเพื่ออะไรให้ถึงเป้าหมายนั้น ๆ ขึ้นมา

จากเหตุผลดังกล่าว ส่วนมากด้วยการที่นักการตลาดตั้งเป้าหมายของ User Journey ไม่ชัดเจน ทำให้เราจะเห็นการใช้ Goal Gradient Effect มากกว่าในการทำ Gamification ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเห็น progress bars, badges หรือการเห็นว่ากรอกข้อมูลสำเร็จไปเท่าไหร่แล้ว

ในความจริงแล้ว Goal Gradient Effect สามารถเอามาใช้มากกว่านี้ได้ โดยการทำเป้าหมาย ๆ ใหญ่ที่อยากให้ Target ทำนั้น กลายมาเป็นเป้าหมายย่อย ๆ ที่ต้องสำเร็จ สะสมไปเป้าหมายใหญ่ได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการซื้อสินค้า เมื่อซื้อสินค้าครบ X บาทจะสามารถได้รับของรางวัลบางอย่าง แต่ถ้าไปถึง XX จะได้ของรางวัลที่ดีขึ้น ถ้าจาก X ไปสู่ XX ไม่ได้ลงทุนสูงมาก และของรางวัลดูคุ้มค่า เราจะได้การเร่งซื้อสินค้าอย่างทันที เพื่อให้ได้รับของรางวัลที่ดีขึ้นมา นอกจากนี้ยังสามารถเอามา หรือจะเป็นกรณีอย่าง

 

credit : Boumen Japet/shutterstock.com

 

Ubers ใช้ gamification ในการนำเสนอ Progress Bar ด้วยการที่ Pain point ของการใช้บริการเรียกรถแบบนี้คือการที่ต้องรอคอยรถที่จะมารับนานมาก ๆ และเพื่อที่จะทำให้คนรอคอยรถไม่เบื่อหรือให้รู้สึกเวลาผ่านไปรวดเร็วมีความหวัง Uber ก็จะใช้วิธีการในการสร้าง Animation รูปรถในแผนที่ เพื่อระบุว่ารถกำลังจะมาถึงรึยัง การใช้ Goal Gradient Effect แบบนี้มีความน่าสนใจตรงที่ ไม่ได้ให้ user ต้องลงมือทำอะไรเลยด้วย แต่การแสดงให้เห็นความคืบหน้า ก็เปลี่ยนมุมมองของการรอรถได้แล้วว่า จะจัดการตัวเองอย่างไร หรือมีเวลาแค่ไหน จะได้ไปทำอย่างอื่นได้โดยไม่เสียเวลา แถมเวลาที่ Uber เข้าใกล้คุณมากแค่ไหน ก็จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวแค่นั้นอีกด้วย

 

credit : FellowNeko / Shutterstock.com

 

Duolingo ใช้ chunked” progress bars เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ ด้วยการที่ Duolingo เป็นแอพสอนภาษาที่ต้องให้คนใช้เวลา ในการเรียน จนสำเร็จนั้นเหมือนการเดินทางของ User Journey การรักษาคนให้เรียนตลอดนั้นเป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่ Duolingo ทำคือการที่แตกเป้าหมายใหญ่ ๆ ออกเป็นด่านย่อย ๆ หรือบทเรียนย่อย ๆ และมี progress bars ย่อย ๆ ในแต่ละด่านว่าทำไปถึงไหนแล้วอีกด้วย

ด้วยแนวคิดในการเอา chunked” ซึ่งเป็นเทคนิคในการรับข้อมูลขนาดใหญ่ มาย่อยให้เป็นข้อมูลย่อย ๆ โดยจัดประเภทให้เหมือนกันแล้วจะทำให้เกิดการจำหรือการรับข้อมูลได้ด้วยนั้นเอง ด้วยวิธีนี้ Duolingo สามารถรักษาคนให้ใช้งานแอพได้อย่างยาวนาน และมีอัตราการเรียนจบสูงมาก

Starbucks ใช้การสะสมดาวให้คนซื้อของมากขึ้น หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ใช้งานบัตร Starbucks card ที่จะมีการสะสมดาวอยู่ด้านใน Starbucks จะทำการระบุว่า ถ้าได้ 300 ดาวจะได้เลื่อนขั้นสมาชิก แต่ใน 300 ดาวนั้น Starbucks จะทำการย่อยเป้าหมายลงมาเหลือทีละ 120 ดาว โดย Starbucks จะทำให้คุณใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อสะสมดาวไปยังเป้าหมาย 120 ที่จะได้ของรางวัล โดยในระหว่างทางจะมีตัวกระตุ้นมากมายที่ทำให้ถึงเป้าหมายไม่ว่าจะเป็น ดาวเพิ่ม 2 เท่า หรือซื้อสินค้าครบ X บาทจะได้ดาวเพิ่ม XX ดวง

การใช้ Goal Gradient Effect นั้นเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างมาก ที่จะทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มเป้าหมายทั้งใน Online และหน้าร้านหรือสาขาอย่างมาก ถ้าอยากจะใช้ Goal Gradient Effect ลองดูว่า touchpoint จุดไหนที่คนจะมาเจอประสบการณ์ตรง ๆ บ้าง และใช้ตรงนั้นเป็น Goal Gradient Effect


  • 401
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ