เหรียญสองด้าน วัฒนธรรมการทำงาน “อยู่แบบครอบครัว” มากไปก็ Toxic ได้!

  • 16
  •  
  •  
  •  
  •  

“อยู่กันแบบครอบครัว” ถ้าใครได้ยินคงคิดว่าการทำงานต้องดูอบอุ่น เป็นกันเองแน่นอน แต่พอได้ได้เข้ามาทำงานแล้ว บางทีอาจไม่ใช่สิ่งที่คิดเสมอไป ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คงจะเหมือนตัวละคร “เอื้อยกับอ้าย” จากเรื่อง “ปลาบู่ทอง” ที่มีนิสัยขัดแย้งกันอยู่เสมอ มีความหยิกหลังกัน ถึงแม้จะเป็นครอบครัวเดียวกันก็ตาม

แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ด้านดี ๆ ก็มี หลายคนบอกว่าการทำงานแบบครอบครัวก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้ Toxic ขณะนั้น ดังนั้นวันนี้ Marketing Oops! อยากจะมาเล่ามุมมองของการทำงานที่อยู่กันแบบครอบครัวว่า มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร แล้วองค์กรควรมีสังคมแบบไหนดี?

ข้อเสียของการทำงาน “อยู่กันแบบครอบครัว” 

สังคมที่อยู่กันแบบครอบครัวสะท้อนถึงความต้องเคารพกัน เข้าอกเข้าใจ และใส่ใจกันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะความเป็นส่วนหนึ่งในองค์กร สิ่งเหล่านี้อาจฟังดูสบายใจและเป็นกันเองในการทำงาน แต่รู้หรือไม่ การทำงานอยู่กันแบบครอบครัวอาจจะทำให้เราไม่สามารถออกความคิดเห็น หรือเสียความเป็นตัวเองไปบางอย่าง มาดูกันว่าการทำงาน “อยู่กันแบบครอบครัว” มีอะไรที่น่ากังวลบ้าง

1.ไม่มี Work-life balance ให้กับตัวเอง : ในปัจจุบันพนักงานหรือผู้ที่กำลังจะสมัครงาน ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่พอได้ยินคำว่าอยู่กันแบบครอบครัว ทุกคนจะมีความเกรงใจน้อยลง ใช้งานเราได้แบบ Unlimited เพราะคำว่า “อยู่กันแบบครอบครัว” มันติดอยู่ในใจ

ที่สำคัญบทสนทนาจะสนิทสนมมากขึ้น มีความเป็นพี่น้องหรือพ่อแม่มากกว่าเพื่อนร่วมงาน แม้ว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะลดช่องว่างระหว่างหัวหน้าและลูกน้อง แต่ในมุมของพนักงาน จะมีความรู้สึกกลัวเกิดขึ้นเวลาที่ต้องตอบคำถามหรือพูดคุยกับหัวหน้า

2.บริษัทไม่สามารถรักเราแบบครอบครัวได้ : การอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรที่ดี เพื่อนร่วมงานดี มีความผูกพันจนเหมือนครอบครัวก็ไม่ผิด แต่เราต้องมองโลกแห่งความเป็นจริงว่าสุดท้ายแล้ว ความรักที่เรามีคือการทำงานและพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ให้กับองค์กร และเราจะได้สิ่งตอบแทนเป็นค่าจ้าง องค์กรก็จะได้ผลงานจากที่เราได้ทำ พอถึงวันหนึ่งที่เรามีความจำเป็นที่ต้องออกจากงาน องค์กรก็ต้องหาพนักงานใหม่ ๆ เข้ามา ซึ่งก็ไม่ผิด แต่นี่แสดงให้เห็นว่า บริษัทไม่สามารถรักเราแบบครอบครัวได้ ด้วยเงื่อนไขของความสัมพันธ์ตั้งแต่แรกแล้ว

3.อยู่แบบครอบครัวเดินตามรอยพ่อแม่ เท่ากับ หัวหน้างาน : สังคมทำงานอยู่กันแบบครอบครัวหัวหน้าหรือคนที่ตำแหน่งสูงกว่าจะเปรียบเสมือนพ่อแม่ ส่วนพนักงานทั่วไปจะเหมือนลูก ฟีลคล้ายลูกต้องเดินตามพ่อแม่ อาจจะทำให้สังคมในการทำงานรู้สึกอัดอัด เพราะพนักงานรู้สึกไม่มีอำนาจในการต่อรองใด ๆ ได้แต่ทำตามคำสั่งไปวัน ๆ และเท่ากับว่าพนักงานก็จะไม่พัฒนาศักยภาพของตนเอง เพราะไม่สามารถเสนอความคิดได้

ข้อดีของการทำงาน “อยู่กันแบบครอบครัว”

มีข้อเสียก็ต้องมาดูข้อดีกันบ้างว่า การทำงานอยู่กันแบบครอบครัวอาจจะไม่ได้แย่เสมอไป การทำงานแบบครอบครัวก็ทำให้ภายในองค์กรมีสีสันมากขึ้น และมาดูกันว่าข้อดีของการอยู่ร่วมกันแบบครอบครัว มีอะไรบ้าง

1.สร้างความ enjoy ภายในที่ทำงาน : แน่นอนว่าการทำงานภายในองค์กรจะมีพนังงานที่เยอะ ถ้าทุกคนอยู่กันแบบครอบครัว ก็ย่อมจะมีบรรยากาศที่ดีไม่ตึงเครียด รู้สึกมาทำงานแล้วสบายใจ ยิ่งเวลาพักเที่ยงก็จะชวนกันไปหาอะไรกินด้วยกัน การมีเพื่อนร่วมงานเช่นนี้ก็จะรู้สึกอบอุ่นเหมือนคนในครอบครัวนั้นเอง

2.มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน : ในปัจจุบันการใช้ชีวิตแต่ละวันมีปัญหาต่าง ๆ มาให้แก้ไขเสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือปัญหาใหญ่ ๆ การอยู่กันแบบครอบครัวจะทำให้เรามีตัวช่วยในการแก้ปัญหาต่าง ๆ รอบด้านมากขึ้น จะทำให้เรามีไอเดียในการแก้ไขปัญา

3.ปรึกษาถามความคิดเห็น : สามรถปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงานได้ โดยที่เราไม่รู้สึกกลัว โดยปกติแล้วถ้าอยู่กันแบบครอบครัว เราก็จะปรึกษาเรื่องที่ไม่เข้าใจกับเรื่องงานบางหรือปรึกษาเรื่องส่วนตัวได้ เพราะบางครั้งเราอาจจะปรึกษากับคนใน “ครอบครัวจริง ๆ” ไม่ได้ 

3 สไตล์องค์กรแบบไหน ที่จับใจทุกคน

“คับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก” เป็นคำกล่าวเมื่อเราพูดถึง “ที่ทำงาน” เป็นสถานที่ในการใช้ชีวิที่สองรองจากบ้านเลยก็ว่าได้จากที่กล่าวมา ด้วยความต้องการของคนทำงานที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย การสร้างสภาพแวดล้อม และวัฒนธรรมการทำงานที่ดี แต่ก็อย่าลืมเน้นเสริมสร้างคุณค่าความสามารถของพนักงาน ดังนั้นสไตล์องค์กรแบบไหนที่โดนใจ จะมีหน้าตาเป็นแบบนี้ 

  • บริหารด้วยประชาธิปไตย : จะว่าไปแล้วนี้ถือเป็นสิ่งที่พนักงานหลายคนชื่นชอบเป็นอย่างมาก เพราะหัวหน้าควรให้ทีมมีส่วนร่วมในการแชร์ไอเดียตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ด้วย เพื่อให้ทีมมีโอกาสแสดงความคิดเห็น การทำแบบนี้ก็เหมือนเป็นประชาธิปไตยในรูปแบบหนึ่งที่ทุกคนต้องการ
  • กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน : การชัดเจนกับทีมว่าต้องการอะไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน และควรมีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างความเป็นส่วนตัวและการทำงาน ทั้งนี้การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้ทีมซื่อสัตย์กับองค์กรและมีความผูกพันกับเพื่อนร่วมงานไปเองโดยธรรมชาติ เพราะทุกคนมีความเข้าใจร่วมกัน
  • มีความยืดหยุ่นเรื่องเวลาและสถานที่ของการทำงาน : บางทีการทำงานที่อื่น จะทำให้เรามีไอเดียใหม่ ๆ มากกว่าอยู่ออฟฟิศ และการมีเวลาที่ยืดหยุ่นก็ช่วยทำให้เรารู้สึกไม่เครียดมาก เผลอ ๆ บางคนอาจจะทำงานได้ในช่วงเวลากลางคืนที่ไม่ใช่เวลางาน

การทำงานอยู่กันแบบครอบครัว เรื่องนี้ต้องให้ผู้อ่านเป็นคนตัดสินใจเอง เพราะบางคนอาจจะชอบ บางคนอาจจะไม่ชอบ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล แต่อย่างไรเสีย สิ่งที่บริษัทและภายในองค์กรควรมี คือการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน มีความเคารพกันซึ่งกันและกันก็จะเป็นผลดีต่อทุกฝ่ายนั้นเอง


  • 16
  •  
  •  
  •  
  •