เป็นหนึ่งในคำถามที่หลายคนมักจะได้ยินอยู่เสมอว่า รถยนต์ไฟฟ้า EV จำเป็นต้องซื้อแล้วหรือยัง แน่นอนว่าหากพูดถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อม รถยนต์ EV คือทางออกของปัญหาที่เห็นได้ชัดและรวดเร็วที่สุด ในขณะที่เมื่อดูความเป็นจริงแล้วจะพบว่า รถยนต์ EV ยังมีราคาที่ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้บริโภคจำเป็นต้องคิดอย่างรอบคอบในการเลือกซื้อรถ EV ถึงความคุ้มค่าที่จะได้รับมากกว่าการใช้รถน้ำมัน
นอกจากนี้ ecosystem ของรถยนต์ EV คือ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของผู้บริโภค โดย ecosystem ของรถยนต์ EV จะประกอบไปด้วย ตัวรถยนต์ EV, การบริการจากค่ายรถยนต์, กฎระเบียบที่เอื้อต่อการซื้อรถยนต์ EV, สถานีชาร์จ, อู่และช่างที่เชี่ยวชาญในการซ่อมบำรุง และที่สำคัญคือประกันภัยรถนต์ EV ซึ่งจากที่ผ่านมาหลายคนคงเห็นข่าวว่า การซ่อมรถยนต์ EV บางกรณีต้องจ่ายเงินเป็นล้าน ถึงขนาดที่บริษัทประกันต้องขอจ่ายเบี้ยคืนแล้วผลักภาระให้เป็นของเจ้าของรถแทน
Pain Point ของประกันภัยรถยนต์ EV
แม้ว่าปัจจุบัน ecosystem ของรถยนต์ EV จะเรียกได้ว่า เติมเต็มเกือบสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ประกันภัยรถยนต์ EV ยังถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของตลาด EV ในประเทศไทย นั่นเป็นเพราะบริษัทประกันภัยมีแพ็คเกจสำหรับรถยนต์ EV ที่สูงกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน เมื่อเทียบรุ่นต่อรุ่นใน Segment หรือในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน และอาจไม่ได้ครอบคลุมถึงอะไหล่ชิ้นส่วนบางอย่างของรถยนต์ EV ซึ่งส่วนต่างของราคาประกันภัยรถยนต์ EV กับรถใช้น้ำมันต่างกันเกือบ 5,000 บาท บางแห่งอาจมีส่วนต่างสูงถึง 10,000 บาท
ซึ่งจากข้อมูลของ Priceza พบว่า ปัญหาที่ทำให้ราคาประกันภัยรถยนต์ EV สูงกว่ารถใช้น้ำมัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากตลาดของรถยนต์ EV ที่มีขนาดเล็ก แม้ว่าคาดการณ์ในสิ้นปีนี้ รถยนต์ EV ที่วิ่งอยู่บนท้องถนนของประเทศไทยจะแตะหลักแสนคัน แต่เมื่อเทียบกับรถยนต์ใช้น้ำมันที่ในปัจจุบันมีรถยนต์วิ่งอยู่บนท้องถนนของประเทศไทยกว่า 43 ล้านคัน ทำให้ตลาดรถยนต์ EV มีขนาดเล็กลงไปทันที
ด้วยขนาดตลาดที่เล็กและตลาดรถยนต์ EV ยังเป็นตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุรายการซ่อมบำรุงดูแลรักษาของรถยนต์ EV ยังมีน้อย รวมไปถึงสกิลของช่างในประเทศไทยที่ยังไม่มีความรู้ในเรื่องของการซ่อมรถยนต์ EV แม้แต่ช่างของศูนย์รถยนต์ EV ก็ยังมีสกิลไม่เต็ม 100% รวมไปถึงอะไหล่ต่างๆ ยังคงเป็นรูปแบบนำเข้า ส่งผลให้บริษัทประกันภัยจึงประเมินเบี้ยประกันของรถยนต์ EV โดยคิดจากฐานของรถยนต์ใช้น้ำมันในสัดส่วนที่สูงกว่าประมาณ 20%
โอกาสและแนวโน้มของประกันภัยรถยนต์ EV
แต่ใช่ว่าประกันภัยรถยนต์ EV จะไม่มีศักยภาพในการเติบโต เนื่องจากในปี 2024 นโยบายด้านรถยนต์ EV ที่รัฐบาลได้ทำไว้ ระบุให้ค่ายรถยนต์ EV ต้องมีการผลิตรถยนต์ EV ภายในประเทศไทย เท่ากับ จำนวนที่นำเข้ามาในช่วงก่อนหน้านี้ หมายความว่า ถ้าค่ายรถยนต์ EV นำเข้ารถยนต์ EV มา 100,000 คัน จะต้องผลิตรถยนต์ EV ในประเทศไทยจำนวน 100,000 คันเช่นกัน นั่นจึงทำให้หลายค่ายรถยนต์ EV เริ่มมีการลงทุนโรงงานผลิตรถยนต์ EV ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
ด้วยเหตุผลนี้เอง จึงทำให้ Know How ด้านเทคโนโลยีรถยนต์ EV จะถูกส่งต่อไปยังช่าง ทั้งช่างของศูนย์และอู่ต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้สกิลความสามารถในการซ่อมรถยนต์ EV เพิ่มมากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับเมื่อมีโรงงานผลิตรถยนต์ EV ในประเทศไทยแล้ว ก็มีโอกาสที่จะผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ที่สำคัญของรถยนต์ EV ในประเทศไทยเช่นกัน และจะทำให้ราคาอะไหล่ของรถยนต์ EV มีราคาถูกลง
โอกาสทั้งหมดนี้ จะส่งผลต่อการประเมินเบี้ยประกันสำหรับรถยนต์ EV และจะทำให้ประกันภัยรถยนต์ EV มีแนวโน้มถูกลง ไม่เพียงเท่านี้ ด้วยเทคโนโลยีของรถยนต์ EV จะช่วยให้บริษัทประกันภัยสามารถรับรู้ พฤติกรรมการขับขี่ได้ในเชิงที่ลึกมากขึ้น จากเดิมที่เคยรู้เพียงช่วงระยะเวลาในการขับขี่ ระยะทางที่ใช้ในการขับขี่ รวมไปถึงจุดหมายปลายทาง ของการขับขี่ แต่ในอนาคตบริษัทประกันจะรับรู้ได้ถึงความเร็วที่ใช้ในการขับขี่ พฤติกรรมการเปลี่ยนเลน พฤติกรรมการเบรค เพื่อประเมิน รูปแบบการขับขี่ของลูกค้าแต่ละราย และจะนำไปสู่การออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ EV ในรูปแบบ Personalize
รถ EV ตอนนี้ควรซื้อดีหรือไม่
เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลจาก Priceza ชี้ให้เห็นว่า การใช้รถยนต์ EV ช่วยลดค่าใช้จ่ายลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการบำรุงดูแลรักษาเนื่องจากรถยนต์ EV ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายของเหลวต่างๆ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงที่ราคาค่าไฟถูกกว่าราคาน้ำมัน ยังไม่นับรวมถึงภาษีรถยนต์ EV ที่คิดอัตราภาษีจากน้ำหนักรถ ซึ่งเฉลี่ยแล้วถูกกว่าการคิดภาษีจากความจุกระบอกสูบของรถยนต์ใช้น้ำมันที่เครื่องยิ่งมีขนาดใหญ่ ยิ่งเสียภาษีแพงมาก
โดยข้อมูลของ Priceza ยังชี้ว่า รถยนต์ EV มีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่ารถยนต์ใช้น้ำมันเพียงแค่เรื่องของประกันภัย และยางรถยนต์ที่ต้องเลือกใช้เฉพาะของรถยนต์ EV เท่านั้น ซึ่งมีราคาที่สูงกว่ายางรถยนต์รถใช้น้ำมันปกติ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนระยะทางที่ใช้ Priceza ระบุว่า หากมีการใช้เพื่อเดินทางระยะทางที่ไกลมากกว่า 120,000 กิโลเมตรต่อ 5 ปี การใช้รถ EV มีความคุ้มค่ากว่า เมื่อเทียบกับการใช้เพื่อเดินทางระยะใกล้ที่ 33,600 กิโลเมตรต่อ 5 ปี มีค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกันระหว่างรถยนต์ EV และรถใช้น้ำมัน
ยิ่งไปกว่านี้ในอนาคตอาจมีปัจจัยเสริม ที่ช่วยให้ ecosystem ของรถยนต์ EV มีโอกาสเติบโตมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การลงสู่ตลาดรถยนต์ EV อย่างเต็มตัวของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ช่วยให้เปลี่ยนแบตได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงเทคโนโลยีในการชาร์จที่ช่วยลดระยะเวลาในการชาร์จลง ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมและหนุนให้ตลาดรถยนต์ EV เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
จะเห็นได้ว่า ประกันภัยรถยนต์ EV กลายเป็นที่จับตามองอย่างมากของตลาด โดยในปัจจุบันประกันภัยรถยนต์ EV มีแพ็คเกจการดูแลในทุกชั้นไม่ว่าจะเป็นประกันภัยชั้น 1, ชั้น 2, ชั้น 2+, ชั้น 3 และชั้น 3+ ไม่เพียงเท่านี้หากในอนาคตบริษัทประกันภัยมีข้อมูลของตลาดและราคาอะไหล่มากกว่าในปัจจุบัน อาจจะช่วยทำให้บริษัทประกันภัยสามารถเปิดแพ็คเกจการประกันภัยในรูปแบบ การประกันเฉพาะชิ้นส่วนสำคัญ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านประกันภัยลงได้อย่างมาก
ข้อมูล: Priceza Money , Priceza