เรียกได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ที่มีไม่บ่อยหรืออาจไม่เคยเกิดขึ้น กับการร่วมมือกันของ 2 ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของไทย เมื่อ อากู๋ ไพบูลย์ หัวเรือใหญ่ Grammy เห็นดีและ เฮียฮ้อ สุรชัย บิ๊กบอส RS เห็นด้วย ที่ควรจะมีโปรเจ็คใหญ่ระดับตำนาน เมื่อคู่แข่งทางธุรกิจเพลง หันหน้ามาก้าวข้ามความขัดแย้งและร่วมมือกันสร้างสรรค์ประสบการณ์การรับชมคอนเสิร์ตที่เรียกว่า ซื้อครั้งเดียวได้คุ้มค่าความสนุกจากทั้ง 2 ค่าย
ในอดีตต้องยอมรับว่า ธุรกิจเพลงอยู่กำมือของ 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ ทั้งค่ายเพลงย่านอโศกอย่าง Grammy และค่ายเพลงย่านลาดพร้าวอย่าง RS ซึ่งการแข่งขันของทั้ง 2 ค่ายเป็นแบบหมัดต่อหมัด ไม่ว่าจะเป็นเพลงแดนซ์ที่ฝั่ง Grammy มี เจ เจตริน ขณะที่ฝั่ง RS มี ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง หรือเพลงวัยรุ่นยุค 90 ที่ฝั่ง RS มี เต๋า สมชาย ขณะที่ฝั่ง Grammy มี มอส ปฏิภาณ เป็นต้น
Grammy – RS จับมือ Joint Venture
ด้วยเพราะความเป็นคู่แข่งกันมาอย่างยาวนาน และชนกันแบบหมัดต่อหมัด ทำให้เรียกว่าแทบจะไม่มีทางได้มาโคจรพบกันได้ ถ้าไม่ค่ายใดค่ายหนึ่งตายไปก่อน แต่ดูเหมือนความคิดนั้นจะผิดไปถนัดตา เมื่อวันนี้ Grammy ประกาศความร่วมมือกับ RS ในการร่วมมือแบบ JV (Joint Venture) อ๊ะ…อ๊ะ…อย่าเพิ่งคิดว่าการ JV ในครั้งนี้จะเป็นการเปิดบริษัทร่วมทุนหรือจะเป็นรูปแบบ M&A
แต่การ JV ครั้งนี้เป็นรูปแบบการจัดตั้งกิจการร่วมค้า Across the Universe ภายใต้แนวคิด Series Concert แบบ Trilogy โดยจะร่วมกันจัดคอนเสิร์ตยาวนานถึง 3 ปี แต่ละปีจะมีการจัดคอนเสิร์ตอย่างน้อย 3 คอนเสิร์ตหรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของแฟนๆ โดยในปีนี้จะมีการจัดงานขึ้น 3 ครั้งที่อิมแพ็ค อารีน่า ในวันที่ 29-30 กรกฎาคม, 9-10 กันยายน และ 28-29 ตุลาคม โดยแต่ละคอนเสิร์ตจะจัดขึ้นอย่างน้อย 2 รอบ แต่หากแฟนๆ ที่ต้องการชมมีมากกว่าที่คาดก็อาจมีการเพิ่มรอบเป็นครั้งๆ ไป
ขณะที่ทั้ง 2 ค่ายยังคงดำเนินธุรกิจเพลงของตัวเองต่อไป โดยการลงทุนและรายได้ที่เกิดขึ้นจากโปรเจ็ค JV จะมีการแบ่งกันในสัดส่วน 50% เท่าๆ กัน โดยตั้งเป้าแต่ละคอนเสิร์ตมีผู้ชมรอบละไม่น้อยกว่า 10,000 คน และสร้างรายได้จาก 3 คอนเสิร์ตในโปรเจ็ค JV นี้ปีละ 220 ล้านบาท เมื่อรวม 3 ปี คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้อย่างน้อย 660 ล้านบาท ซึ่งทั้ง Grammy และ RS จะสามารถแบ่งรายได้ที่ค่ายละ 330 ล้านบาท ยังไม่นับรวมถึงรายได้ที่จะเกิดขึ้นหลังคอนเสิร์ตจบลงอย่าง คอนเทนต์ Streaming เป็นต้น
ที่มา JV พร้อมเจาะกลุ่มคนฟังเพลงยุค 90
สำหรับปีนี้จะเน้นเจาะกลุ่มคนยุค 90 ไปจนถึงปี 2000 ซึ่งเป็นกลุ่มที่อยู่ในยุคตลาดเพลงไทยเติบโตอย่างมาก โดยทั้ง Grammy และ RS มองว่า เป็นกลุ่มคนที่ส่วนใหญ่ในอดีตต้องขอเงินพ่อแม่เพื่อไปดูคอนเสิร์ต และอีกหลายคนยังไม่เคยสัมผัสประสบการณ์การชมคอนเสิร์ตในยุคนั้น แต่ปัจจุบันกลุ่มคนเหล่านี้มีเงินพร้อมจ่ายเพื่อเข้าชมคอนเสิร์ต เติมเต็มสิ่งที่ในอดีตยังไม่เคยได้รับประสบการณ์
อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่เรียกได้ว่า ก้าวข้ามผ่านสถานการณ์โรคระบาด และทุกคนโหยหากิจกรรมที่เคยเกิดขึ้นในอดีต นอกจากนี้การพูดคุยของทั้ง 2 ค่ายเห็นร่วมกันที่จะพลิกฟื้นตลาดเพลงไทยให้กลับมาโด่งดังอีกครั้ง หลังช่วงที่ผ่านมาถูกแบ่งตลาดให้กับศิลปินต่างชาติ โดยทั้ง 2 ค่ายยังมองว่าตลาดเพลงไทยยังสามารถเติบโตได้ ซึ่งเป้าหมายคือการนำศิลปินไทยบุกตลาดต่างประเทศ
Battle ธุรกิจ Battle ศิลปิน
ต้องเรียกว่าในอดีตที่ผ่านมาภาพจำของ 2 ค่ายทั้ง Grammy และ RS ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคือ คู่แข่งที่สำคัญของธุรกิจเพลงไทย แข่งกันชนิดที่ถ้าใช้ภาษาการตลาดก็เป็นการแข่งขันใน Segment เดียวกัน ใครเปิด Segment ใหม่ อีกค่ายก็จะมีศิลปินตามไปขึ้นสังเวียนใน Segment เดียวกันตลอด เปรียบเสมือนกับค่ายหนังระดับโลกอย่าง Disney และ Universal
อย่างในปี 2533 ที่ RS เปิดตัว ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง ในฐานะศิลปินวัยรุ่นยุคนั้น ในปี 2534 ฝั่ง Grammy ก็เปิดตัว เจ เจตริน น้องชาย โจ นูโว ในฐานะศิลปินวัยรุ่นยุคนั้นเช่นเดียวกัน ปีเดียวกัน RS ก็ฉีกแนวให้ทัชเปลี่ยนลุคเป็นสายแดนซ์กับอัลบั้ม ทัช ธันเดอร์ ที่มีเพลงดังอย่าง “เท้าไฟ” ขณะที่อีก 2 ปีต่อมา เจ ก็ปรับตัวสู่สายแดนซ์กับอัลบั้ม 108-1009 ที่มีเพลงดังอย่าง “ยุ่งน่า”
หรืออย่างศิลปิน PopTeen ในยุค 90 อย่างฝั่ง Grammy ที่ส่ง มอส ปฏิภาณ กับอัลบั้ม Mos เอ้อเฮอ ในปี 2535 ขณะที่ RS ก็ความเพื่อนสนิทมอสอย่าง เต๋า สมชาย มาออกอัลบั้ม เต๋า หัวโจก ในปี 2536 และในปี 2537 ด้าน Grammy ก็ส่งอัลบั้ม “Mr.Mos ไม่รัก…ไม่ได้แล้ว” ปีถัดไป 2538 ฝั่ง RS ก็ส่งอัลบั้ม “สมชายจรดปลายเท้า”
หรือธุรกิจภาพยนตร์ที่ RS ส่ง เต๋า สมชาย รับบาท “ไม้” ในภาพยนตร์รักใสๆ ที่วัยรุ่นยุค 90 ต้องดูอย่าง “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” ในปี 2538 ที่ประกบคู่กับ นุ๊ก สุทธิดา จนสะเทือนไปถึง Grammy จนต้องปล่อยภาพยนตร์แนวรักของวัยรุ่นยุค 90 อย่าง “จักรยานสีแดง” ที่มอสรับบทเป็น “วาที” ในปี 2540 ที่ประกบคู่กับสาวน้อยมหัศจรรย์ อมิตตา ทาทา ยัง
เรียกได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ที่ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เกิดการแข่งขันของ 2 ค่ายเพลงใหญ่ที่มีการรวมตัวเพื่อจัดคอนเสิร์ตอย่างเป็นทางการ ซึ่งหลังจากนี้ก็อยู่ที่ผู้ฟังเพลงว่า อยากให้เกิดปรากฎการณ์รวมตัวในรูแปแบบอื่นหรือไม่ เช่น ภาพยนตร์หรืองานเพลง โดยทั้ง 2 ค่ายต่างมองว่า ศิลปินและเพลงเป็นสินทรัพย์ (Asset) รูปแบบหนึ่งที่สามารถนำมาร่วมกันเพื่อพัฒนาตลาดเพลงไทยภายใต้ Data Driven ของผู้ฟัง